คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1899/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินค่าทดแทน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 200 บาท โดยจำเลยที่ 1 เห็นว่าประเด็นหย่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์โดยไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งศาลชั้นต้นสั่งให้ใช้แทน จำเลยที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท และจำเลยที่ 2 เห็นว่ารับผิดในค่าธรรมเนียมแทนโจทก์เพียงกึ่งหนึ่งจึงวางเงินเพียง 3,260 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง เห็นว่าศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์มาโดยไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลเพิ่มเติม เมื่อ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใจผิดว่าตนปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องแล้ว แสดงว่าไม่จงใจจะกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย สมควรให้โอกาสจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป
โจทก์ฟ้องขอหย่ากับจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนที่ล่วงเกินจำเลยที่ 1 ในทางชู้สาวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่ได้เป็นชู้กับจำเลยที่ 2 แต่ถูกจำเลยที่ 2 ข่มขืน จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ร่วมกันวางแผนทำลายชื่อเสียงจำเลยที่ 2 ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าโจทก์เข้าใจเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 เป็นอย่างดีแล้วว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีพฤติกรรมไปในทางชู้สาวกับจำเลยที่ 2 และมิได้เป็นผู้ประพฤติชั่วและจะขออยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ไม่ประสงค์จะหย่าขาดจากกัน สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย และไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรูปคดีของจำเลยที่ 2 ประเด็นฟ้องหย่าจึงพิพากษาให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และเห็นควรหยิบยกปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง แก่โจทก์หรือไม่ด้วย ซึ่งการกระทำในทำนองชู้สาวต้องมีผู้กระทำสองฝ่าย เมื่อฝ่ายหญิงคือ จำเลยที่ 1 ไม่มีพฤติกรรมในทางชู้สาวกับจำเลยที่ 2 แล้ว ย่อมแสดงว่าฝ่ายชายคือจำเลยที่ 2 ไม่มีการกระทำในทำนองชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าทดแทนแก่โจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน และให้จำเลยที่ 2 รับผิดใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ เป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกันให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 กรกฎาคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ5,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นตรวจสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วไม่ขัดต่อกฎหมายแล้วส่งสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลและเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลให้ถูกต้องครบถ้วนพร้อมกับอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยที่ 1 เห็นว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท โดยไม่ได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้แทนโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แต่เห็นว่า จำเลยที่ 2 รับผิดในค่าธรรมเนียมแทนโจทก์เพียงกึ่งหนึ่งจึงวางเงินเพียง 3,260 บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เห็นว่า ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลเพิ่มเติม ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใจผิดว่าตนปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องแล้ว แสดงว่าไม่จงใจที่จะกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย สมควรให้โอกาสจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำร้องฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2558 ของจำเลยที่ 1 ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายและจะพิพากษาตามยอมได้หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2558 ได้ความว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันว่า “ข้อ 1 จะขออยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไป ไม่ประสงค์ที่จะหย่าขาดจากกัน ข้อ 2 อุปการะเลี้ยงดูบุตรร่วมกัน ข้อ 3 ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ต่อกันและข้อ 4 ให้ค่าธรรมเนียมทั้งสามชั้นศาลเป็นพับ” คดีนี้โจทก์ฟ้องขอหย่ากับจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นชู้กับจำเลยที่ 2 แต่ถูกจำเลยที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเรา ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ร่วมกันวางแผนทำลายชื่อเสียงจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวยุติข้อพิพาทในคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย โดยไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรูปคดีของจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นได้
ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกปัญหาขึ้นวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระค่าทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2558 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ข้อ 1 ว่า “โจทก์เข้าใจเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 เป็นอย่างดีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพฤติกรรมไปในทางชู้สาวกับจำเลยที่ 2 และมิได้เป็นผู้ประพฤติชั่ว”ซึ่งการกระทำในทำนองชู้สาวนั้นต้องมีผู้กระทำสองฝ่าย เมื่อฝ่ายหญิงคือจำเลยที่ 1 ไม่มีพฤติกรรมในทางชู้สาวกับจำเลยที่ 2 แล้ว ย่อมแสดงว่าฝ่ายชายคือจำเลยที่ 2 ไม่มีการกระทำในทำนองชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าทดแทนแก่โจทก์
อนึ่ง เมื่อคดีนี้ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงไม่หย่าขาดจากกัน และจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระ ค่าทดแทนแก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีพฤติกรรมในทางชู้สาวจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อไปที่จะเรียกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2558 และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share