แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สินค้าที่นอนและหมอนของโจทก์ซึ่งผลิตจากฟองน้ำเทียม ไม่ใช่สินค้าอื่น ๆ เครื่องมือ เครื่องใช้ เฉพาะที่ผลิตจากพลาสติกตามบัญชี 1 หมวด 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรา และยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517เพราะสินค้าที่นอนและหมอนกฎหมายได้บัญญัติไว้แล้วในบัญชีที่ 2หมวด 2 เพียงแต่กฎหมายในขณะพิพาทประสงค์ลดภาษีเฉพาะที่นอนและหมอนที่ยัดปุยนุ่นหรือปุยจากต้นไม้อย่างอื่น ดังนั้นสินค้าของโจทก์จึงไม่อยู่ในบัญชีใด ๆ ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ฟองน้ำเทียมตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวย่อมหมายถึงฟองน้ำเทียมโดยตัวเอง หาได้มีความหมายรวมถึงสิ่งของที่ผลิตเป็นสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นโดยใช้ฟองน้ำเทียมเป็นส่วนประกอบด้วยไม่ เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าผู้ผลิตฟองน้ำเทียมซึ่งถือเป็นผู้ผลิตสินค้าอันจะต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำฟ้องน้ำเทียมมาผลิตสินค้าเป็นที่นอนและหมอน ย่อมเห็นได้ชัดว่าโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ผลิตฟองน้ำเทียมซ้ำอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตที่นอนและหมอนจำหน่าย โดยผู้อื่นเป็นผู้ผลิตฟองน้ำสำหรับผลิตที่นอนและหมอนให้ โจทก์เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1.5 ของรายรับ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 21)พ.ศ. 2509 มาตรา 4(3) ต่อมา เจ้าพนักงานประเมิน แจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 ของรายรับใหม่ อ้างว่าเป็นสินค้าตามบัญชีที่ 1 หมวด 5(10) หรือหมวด 9 ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินชอบแล้วซึ่งไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า โจทก์ได้ว่าจ้างให้บริษัทบางกอกโฟม จำกัดผลิตฟองน้ำเทียมให้ตามสูตรของโจทก์ แล้วโจทก์นำผ้ามาเย็บเป็นปลอกหุ้มหรือซื้อปลอกมาหุ้มทำเป็นที่นอนและหมอน เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยทำการประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7.0ของรายรับโดยอ้างว่าสินค้าของโจทก์เป็นฟองน้ำ ฟองน้ำเทียมตามหมวด 5(10) หรือเป็นของใช้ที่ผลิตจากพลาสติกตามหมวด 9แห่งบัญชีที่ 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517โจทก์จึงได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าสินค้าที่โจทก์ผลิตจำหน่ายเข้าลักษณะเป็นสินค้าที่ผลิตจากฟองน้ำเทียมจึงเป็นสินค้าตามหมวด 5(10) แห่งบัญชีที่ 1 ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวการประเมินชอบแล้ว คงมีปัญหาที่โต้เถียงกันว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าที่ทำการผลิตสินค้าที่นอนและหมอนจากฟองน้ำเทียมขึ้นจำหน่ายอันเป็นสินค้าตามบัญชีที่ 1 หมวด 5(10) ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54)พ.ศ. 2517 ดังจำเลยฎีกาหรือไม่และสินค้าของโจทก์จัดเป็นสินค้าตามบัญชีที่ 1 หมวด 9 ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54)พ.ศ. 2517 เพราะเป็นเครื่องใช้ที่ผลิตจากปลาสติกหรือพลาสติกหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า สินค้าที่โจทก์ผลิตไม่ต้องด้วยบัญชีที่ 1 หมวด 9สินค้าอื่น ๆ เครื่องมือ เครื่องใช้ เฉพาะที่ผลิตจากพลาสติกดังจำเลยฎีกาเพราะสินค้าที่นอนและหมอน กฎหมายได้บัญญัติไว้แล้วในบัญชีที่ 2 หมวด 2 เพียงแต่กฎหมายประสงค์ลดภาษีเฉพาะที่นอนและหมอนที่ยัดปุยนุ่นหรือปุยจากต้นไม้อย่างอื่น ดังนั้นสินค้าที่นอนและหมอนของโจทก์ซึ่งผลิตจากฟองน้ำเทียม จึงไม่อยู่ในบัญชีใด ๆ ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ส่วนข้อที่ว่าสินค้าโจทก์ผลิตจากฟองน้ำเทียม จะถือว่าเป็นฟองน้ำเทียมหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าคำว่าฟองน้ำเทียมตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ย่อมมีความหมายถึงฟองน้ำเทียมโดยตัวเองหาได้มีความหมายรวมถึงสิ่งของที่ผลิตเป็นสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นโดยใช้ฟองน้ำเทียมเป็นส่วนประกอบด้วยไม่เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า ผู้ผลิตฟองน้ำเทียมซึ่งถือเป็นผู้ผลิตสินค้าตามบัญชีที่ 1 หมวด 5(10) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 อันอาจได้รับการลดอัตราภาษีการค้า หากเข้าหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้มาตรา 7(1)แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับเดียวกันจะต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตอยู่แล้ว เมื่อโจทก์นำฟองน้ำเทียมมาผลิตสินค้าเป็นที่นอนและหมอนย่อมเห็นได้ชัดว่าโจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ผลิตฟองน้ำเทียมซ้ำอีกเป็นแน่และการที่บัญชีที่ 2 หมวด 2 เครื่องใช้หรือของใช้ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว บัญญัติถึงที่นอน หมอน เฉพาะที่ยัดปุยนุ่นหรือปุยจากต้นไม้อย่างอื่นในขณะพิพาท ย่อมแสดงว่ากฎหมายได้แยกแยะการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้าไว้โดยเฉพาะซึ่งต่อมาหลังจากพิพาทก็ได้มีการแก้ไขโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 133) พ.ศ. 2526 ตัดข้อความที่ว่า “ทั้งนี้เฉพาะที่ยัดปุยนุ่นหรือปุยจากต้นไม้อย่างอื่น” ออกดังนั้นหลังจากมีการแก้ไขแล้วที่นอนหรือหมอนทุกชนิดจึงจัดเข้าในสินค้าตามบัญชีที่ 2 ดังกล่าวทั้งหมด ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าในขณะพิพาทกฎหมายไม่ได้บัญญัติมุ่งหมายถึงที่นอนหรือหมอนดังเช่นกรณีของโจทก์สินค้าของโจทก์ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตจากฟองน้ำเทียมจึงไม่ใช่สินค้าตามบัญชีที่ 1 หมวด 5(10) ท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 ดังจำเลยฎีกา ส่วนสินค้าของโจทก์จะได้รับการลดอัตราหรือยกเว้นภาษีการค้าในขณะพิพาทตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวหรือไม่ ไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน