แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนี้กู้ยืมเงินเกินห้าสิบบาทขึ้นไปที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้ ผู้ให้ยืมจึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินของผู้ยืมไว้เป็นประกันหนี้ดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๘๔๙๔ และเลขที่ ๑๔๘๔๙๕ ตำบลสวนหลวง อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร และโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๘๖๑ ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของพันตำรวจโทชาญชัยหรือสมาน วงศ์สมนึก จำเลยยึดหน่วงโฉนดที่ดินพิพาทไว้โดยอ้างว่า พันตำรวจโทชาญชัยหรือสมานยืมเงินจำเลย ๓ ครั้ง เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๑,๗๕๕,๐๐๐ บาท โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแล้วพันตำรวจโทชาญชัยหรือสมานยังไม่ชำระหนี้ดังกล่าว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินทั้งสามฉบับดังฟ้องหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” เมื่อหนี้ที่จำเลยอาศัยเป็นมูลเหตุให้ยึดถือโฉนดที่ดินทั้งสามฉบับนั้น เป็นหนี้ที่ไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินดังกล่าวข้างต้นไว้เป็นประกันหนี้ต่อไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สิทธิยึดหน่วงที่จำเลยอ้างถึงนั้น ต้องเป็นสิทธิยึดหน่วงที่เกิดจากมูลหนี้ที่จำเลยมีสิทธิฟ้องร้องบังคับคดีได้ เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิฟ้องร้องให้ผู้จัดการมรดกของพันตำรวจโทชาญชัยหรือสมานชำระหนี้เงินกู้ได้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดทั้งสามฉบับไว้ จำเลยต้องคืนให้โจทก์ทั้งสองนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.