คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีผู้เสียหายซึ่งขณะเกิดเหตุอายุ 9 ปีเศษ เป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียวแต่พฤติการณ์แวดล้อมที่ปรากฏ มีเหตุผลเชื่อได้ว่าเหตุการณ์เป็นไปดังที่ผู้เสียหายเบิกความ แม้คำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นศาลจะแตกต่างจากคำให้การในชั้นสอบสวนบ้าง ซึ่งเป็นเพียงประเด็นรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องที่ไม่สำคัญย่อมไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของผู้เสียหายลดน้อยลง
จำเลยทั้งสองกอดปล้ำผู้เสียหายก็เพื่อการกระทำชำเราผู้เสียหายและในเวลาเดียวกันจำเลยทั้งสองก็ได้พยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำอนาจารอย่างอื่นแก่ผู้เสียหายอีก จะถือว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ด้วยไม่ได้ ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม, 279 วรรคสอง, 364, 365, 80, 83

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 80, 279 วรรคสอง, 365(1)(2)(3)ประกอบมาตรา 262, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 80 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 2 อายุกว่าสิบสี่ปีแต่ยังไม่เกินสิบเจ็ดปี ลดมาตราส่วนลงโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 16 ปี 8 เดือน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายซึ่งขณะเกิดเหตุอายุ 9 ปีเศษ เป็นพยานเบิกความว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองเข้าไปในกระท่อมที่พักของผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ใช้มีดจี้และพูดขู่จะฆ่าผู้เสียหายแล้วกอดปล้ำเอาอวัยวะเพศถูอวัยวะเพศของผู้เสียหายสักครู่ก็ลุกขึ้นจากนั้นจำเลยที่ 2 กอดปล้ำเอาอวัยวะเพศถูอวัยวะเพศของผู้เสียหายสักครู่ก็ลุกขึ้นออกจากระท่อมไป นางเงินน้องของยายผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าหลังเกิดเหตุได้ทราบเรื่องและตรวจพบแผลถลอกเป็นรอยแดงที่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย นายเสน่ห์พยานโจทก์ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนที่ผู้เสียหายเรียนอยู่เบิกความว่า เมื่อทราบเรื่องจากนางเงินและผู้เสียหายแล้ว ได้พาผู้เสียหายไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ นายแพทย์กัณฐัศ ศุภกาญจนกันติ พยานโจทก์
ซึ่งตรวจผู้เสียหายหลังเกิดเหตุไม่เกิน 48 ชั่วโมง เบิกความประกอบผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.4 ว่า อวัยวะเพศของผู้เสียหายมีแผลถลอกที่แคมใน 2 ข้าง ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ต่างเชื่อมโยงสอดคล้องต้องกันปราศจากข้อพิรุธ ผู้เสียหายรู้จักจำเลยที่ 2มาก่อน ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ได้ขณะเกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าจากบ้านข้าง ๆ ส่องสว่างถึงกระท่อมเกิดเหตุเชื่อว่า ผู้เสียหายจดจำจำเลยที่ 2 ได้แม่นยำไม่ผิดตัว ผู้เสียหายและพยานโจทก์ปากอื่นไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 โดยได้รับการเสี้ยมสอนทั้งที่ไม่เป็นความจริงดังจำเลยที่ 2 ฎีกา แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว แต่พฤติการณ์แวดล้อมที่ปรากฏ มีเหตุผลเชื่อได้ว่าเหตุการณ์เป็นไปดังที่ผู้เสียหายเบิกความ แม้คำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นศาลจะแตกต่างจากคำให้การในชั้นสอบสวนบ้างก็เป็นเพียงประเด็นรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องที่ไม่สำคัญ ไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของผู้เสียหายลดน้อยลง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกบุกรุกเข้าไปพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม

อนึ่ง ที่จำเลยทั้งสองกอดปล้ำผู้เสียหายก็เพื่อการกระทำชำเราผู้เสียหายและในเวลาเดียวกันจำเลยทั้งสองก็ได้พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำอนาจารอย่างอื่นแก่ผู้เสียหายอีก จะถือว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ด้วยไม่ได้ ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share