คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1891/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แต่จำเลยที่ 1 อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินสาธารณะ และกล่าวหาว่าโจทก์บุกรุกที่สาธารณะ ให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และรั้วกำแพงคอนกรีตออกจากที่ดินดังกล่าว หากไม่รื้อถอนจำเลยที่ 1 จะดำเนินคดีกับโจทก์ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และมีคำขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์สำหรับประชาชนใช่ร่วมกันและเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 4 รื้อถอนเสาไม้ชั่วคราวที่ปักอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นที่ดินสาธารณะ ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์เรียกร้อง คือที่ดินจำนวน 1 ไร่ 11 ตารางวา ราคา 267,150 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงนครปฐม แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 4 รื้อถอนเสาไม้ชั่วคราวที่ปักอยู่ในที่ดินของโจทก์ด้วย ก็เป็นคำขอต่อเนื่อง เมื่อศาลแขวงนครปฐมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอหลักว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่แล้ว ก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในคำขอต่อเนื่องดังกล่าวด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ว่า อ่านคำร้องของโจทก์แล้วไม่เข้าใจว่าโจทก์ต้องการแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องในส่วนใดของคำฟ้องเดิม จึงมีคำสั่งให้โจทก์ทำคำร้องฉบับใหม่โดยบรรยายให้ชัดว่าต้องการแก้ไขคำฟ้องเดิมในส่วนใดหรือต้องการเพิ่มเติมคำร้องลงไปในตรงส่วนใดของคำฟ้องเดิมโดยให้ทำคำร้องฉบับใหม่มายื่นต่อศาลภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นจะมีคำสั่งไม่รับคำร้อง โจทก์มิได้ทำคำร้องฉบับใหม่มายื่นภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง จึงไม่มีประเด็นว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา แต่ถือว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 ไร่ 11 ตารางวา เท่านั้น จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงนครปฐมตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่ต่อศาลปกครองกลางขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินของโจทก์มิใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ ให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน รื้อถอนเสาไม้ที่ปักอยู่ในที่ดินของโจทก์ศาลปกครองกลางมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์เฉพาะข้อหาที่ให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมรื้อถอนเสาไม้ชั่วคราวที่ปักอยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่ไม่รับฟ้องของโจทก์ที่ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินของโจทก์มิใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ไว้พิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำร้องโต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้รอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวแล้วส่งความเห็นไปยังสำนักงานศาลยุติธรรมเพื่อดำเนินการส่งไปให้ศาลในความรับผิดชอบทำความเห็นต่อไป ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่องการพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ.2544 ข้อ 19
ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งว่า คดีนี้มีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ศาลจังหวัดนครปฐม
ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลจังหวัดนครปฐมและสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ศาลจังหวัดนครปฐมนัดพร้อมคู่ความและมีหนังสือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน ให้รังวัดทำแผนที่วิวาท ปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 ไร่ 11 ตารางวา มีราคาประเมินตารางวาละ 650 บาท คิดเป็นเงิน 267,150 บาท จึงมีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงนครปฐมเพื่อพิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย
ศาลแขวงนครปฐมมีคำสั่งว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มีคำขอให้จำเลยกระทำการหรือไม่กระทำการ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ส่วนคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2544 ข้อ 4 โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีดำหมายสีแดงในแผนที่พิพาทจำนวน 14 ไร่ 2 งาน 99 ตารางวา และภายในเส้นสีดำหมายสีเขียวเนื้อที่ 1 ไร่ 11 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จึงพิพาทกันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินจำนวน 15 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา และคำขอท้ายคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องฉบับดังกล่าวก็เป็นคำขอรองต่อเนื่องจากคำขอหลักที่ไม่มีทุนทรัพย์ดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 และมาตรา 25 (4) จึงไม่รับโอนคดีนี้และให้ ส่งสำนวนคืนศาลจังหวัดนครปฐม
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่มีว่า คำสั่งศาลแขวงนครปฐมที่ไม่รับโอนคดีนี้จากศาลจังหวัดปฐมชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า คดีนี้เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ดังที่ศาลแขวงนครปฐมวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แต่จำเลยที่ 1 อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินสาธารณะ และกล่าวหาว่าโจทก์บุกรุกที่สาธารณะ ให้โจทก์ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และรั้วกำแพงคอนกรีตออกจากที่ดินดังกล่าวในบริเวณที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการปักเสาไม้ไว้ หากไม่รื้อถอนจำเลยที่ 1 จะดำเนินคดีกับโจทก์ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และมีคำขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์สำหรับประชาชนใช้ร่วมกันและให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 4 รื้อถอนเสาไม้ชั่วคราวที่ปักอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นที่ดินสาธารณะ ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์เรียกร้อง คือ ที่ดินจำนวน 1 ไร่ 11 ตารางวา ราคา 267,150 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงนครปฐม แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 4 รื้อถอนเสาไม้ชั่วคราวที่ปักอยู่ในที่ดินของโจทก์ด้วย ก็เป็นคำขอต่อเนื่อง เมื่อศาลแขวงนครปฐมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอหลักว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่แล้วก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในคำขอต่อเนื่องดังกล่าวด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (1) ที่ศาลแขวงนครปฐมวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนที่ศาลแขวงนครปฐมวินิจฉัยว่า ตามคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องฉบับลงวันที่ 1 มิถุนายน 2550 ข้อ 4 โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินในเส้นสีดำหมายสีแดงในแผนที่พิพาทจำนวน 14 ไร่ 2 งาน 99 ตารางวา และภายในเส้นสีดำหมายสีเขียวเนื้อที่ 1 ไร่ 11 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จึงพิพาทกันเกี่ยวกับกรรมสิทธ์ในที่ดินจำนวน 15 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ว่า อ่านคำร้องของโจทก์แล้วไม่เข้าใจว่าโจทก์ต้องการแก้ไขหรือเพิ่มเติมคำฟ้องในส่วนใดของคำฟ้องเดิม จึงมีคำสั่งให้โจทก์ทำคำร้องฉบับใหม่โดยบรรยายให้ชัดว่าต้องการแก้ไขคำฟ้องเดิมในส่วนใดหรือต้องการเพิ่มเติมคำฟ้องลงไปตรงส่วนใดของคำฟ้องเดิม โดยให้ทำคำร้องฉบับใหม่มายื่นต่อศาลภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นจะมีคำสั่งไม่รับคำร้อง ปรากฏว่าโจทก์มิได้ทำคำร้องฉบับใหม่มายื่นภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง จึงไม่มีประเด็นว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา ดังที่ศาลแขวงนครปฐมวินิจฉัย แต่ถือว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 ไร่ 11 ตารางวา เท่านั้น คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงนครปฐมตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ที่ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งให้โอนคดีเรื่องนี้ไปยังศาลแขวงนครปฐมเพื่อพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย นั้นชอบแล้ว การที่ศาลแขวงนครปฐมมีคำสั่งไม่รับโอนคดีไว้พิจารณาพิพากษาจึงเป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งของศาลแขวงนครปฐมที่ไม่รับโอนคดี ให้ศาลแขวงนครปฐมพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป

Share