แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ค่าพาหนะที่มิได้เหมาจ่ายเป็นจำนวนแน่นอน มิใช่ค่าจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 2จึงไม่ต้องนำมารวมกับเงินเดือนเพื่อคำนวณเป็นค่าชดเชยหรือ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๘,๕๖๐ บาท พร้อมกับค่าจ้างที่เป็นประโยชน์ในการใช้รถประจำตำแหน่งเป็นส่วนตัวรวมทั้งค่าน้ำมัน คำนวณเป็นเงินประมาณเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๒๘,๕๖๐ บาท เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๕ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและจ่ายค่าชดเชยให้โดยคำนวณเฉพาะเงินเดือนเดือนละ ๘,๕๖๐ บาท มิได้นำประโยชน์ที่ได้รับการใช้รถยนต์เป็นส่วนตัวและเบิกน้ำมันจากจำเลยเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท มารวมคำนวณด้วย ทำให้จำนวนเงินค่าชดเชยและเงินบอกกล่าวล่วงหน้าขาดไป ๑๔๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า ผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจากสวัสดิการในการใช้รถยนต์เป็นส่วนตัวและเบิกค่าน้ำมันจากจำเลยนั้น เงินจำนวนนี้มิใช่ค่าจ้าง จำเลยให้พนักงานใช้รถยนต์เพื่อความสะดวกในการทำงาน และจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ่ายเงินค่าบริการดูแลรักษาและค่าน้ำมันให้แก่สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันตามความเป็นจริง มิได้จ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าประโยชน์จากการใช้รถยนต์มิใช่ค่าจ้าง ไม่ต้องนำมารวมกับเงินเดือนเพื่อจ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าครบถ้วนแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยให้โจทก์ใช้รถยนต์ของจำเลยเป็นการส่วนตัว และสามารถเบิกน้ำมันรถจากสถานีจำหน่ายน้ำมันตามที่จำเลยกำหนดได้นั้นเป็นการอำนวยความสะดวกในการทำงานได้รวดเร็วในฐานะที่โจทก์ปฏิบัติงานให้จำเลย ส่วนการจ่ายน้ำมันรถก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบของจำเลย โดยต้องนำใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันรถจากสถานีจำหน่ายน้ำมันมาเบิกเงินจากจำเลย จำเลยมิได้จ่ายค่าพาหนะเป็นการเหมาจ่ายให้โจทก์เป็นจำนวนเงินแน่นอน จึงมิใช่ค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๒ ไม่ต้องนำมารวมกับเงินเดือนเพื่อจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
พิพากษายืน