คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1890/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลที่ได้สืบตัวจำเลยในฐานะเป็นพยานของโจทก์และจำเลยพร้อมกัน หลังจากที่โจทก์นำสืบพยานโจทก์คนอื่น ๆ หมดแล้วนั้น หาใช่คำสั่งที่ไม่ให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานไม่ แต่เป็นคำสั่งใช้ดุลพินิจสั่งตามหน้าที่ที่เป็นผู้ควบคุมการพิจารณาคดีให้รวดเร็วและเที่ยงธรรม เป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว
การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งทำพร้อมกับการอุทธรณ์คำพิพากษา ชอบที่จะทำรวมกันมาในคำฟ้องอุทธรณ์หรือในคำแก้อุทธรณ์ฉบับเดียวกันแล้วแต่กรณี ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยปัญหาทั้งหมดนั้นรวมในคำพิพากษาฉบับเดียวกันได้ ไม่ขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 เพราะมาตรานี้ใช้สำหรับกรณีที่อุทธรณ์คำสั่ง โดยที่ศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว เท่านั้น
การที่คู่ความไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลในเรื่องลำดับของการนำพยานเข้าสืบ จึงแถลงว่าไม่สืบพยานเช่นนี้ ไม่ใช่กรณีที่ศาลปฏิเสธไม่สืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2)

ย่อยาว

คดีนี้ สืบเนื่องจากจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมที่ให้ชำระเงินตามสัญญาแก่โจทก์ โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดีโดยยึดที่ดินจำนองประกันหนี้จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ทำไว้กับโจทก์ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่า ที่ดินที่ถูกยึดส่วนหนึ่งเนื้อที่ ๑ ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โดยซื้อจากจำเลยที่ ๒ และมีข้อสัญญาว่า จำเลยที่ ๒ จะไปจัดการแบ่งแยกส่วนที่ขายและจดทะเบียนใส่ชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อไป ผู้ร้องไม่ทราบว่าจำเลยที่ ๒ ได้นำที่ดินส่วนของผู้ร้องไปจำนองประกันหนี้ร่วมกันส่วนของจำเลยที่ ๑ ไว้ ผู้ร้องอยู่ในฐานะขอให้จดทะเบียนสิทธิส่วนของผู้ร้องก่อนโจทก์ เพราะผู้ร้องได้ซื้อก่อนโจทก์รับจำนอง และผู้ร้องมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองเฉพาะส่วนที่ผู้ร้องซื้อด้วย เพราะโจทก์ไม่สุจริต ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดที่ดินเฉพาะส่วนของผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า โจทก์รับจำนองที่ดินโฉนดพิพาทจากจำเลยที่ ๒ ทั้งแปลง โดยไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของร่วม การซื้อขายที่ดินของผู้ร้องมิได้จดทะเบียน จึงไม่สมบูรณ์ ใช้ยันโจทก์ไม่ได้
ในวันนับสืบพยาน ฝ่ายผู้ร้องเพิ่งยื่นบัญชีระบุพยาน โดยอ้างเหตุว่าผู้ร้องไปต่างประเทศและขอเลื่อนคดี โจทก์คัดค้าน ศาลไม่อนุญาตให้ยื่น และวินิจฉัยคดีโดยสั่งงดสืบพยานว่า สัญญาระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ ๒ เป็นสัญญาจะซื้อขาย และต้องถือว่าผู้ร้องยึดถือที่ดินไว้แทนผู้ขายซึ่งยังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ ผู้ร้องจะยกบุคคลสิทธิตามสัญญาขึ้นยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ ส่วนข้อที่ผู้ร้องอ้างว่าโจทก์และจำเลยที่ ๒ ไม่สุจริต ไม่มีประเด็นสืบ พิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานผู้ร้อง และไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบ ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่น พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ว่า ผู้ร้องได้ตกลงซื้อที่ดินโฉนดที่โจทก์นำยึดจากจำเลยที่ ๒ไว้จำนวน ๑ ไร่ แต่ยังมิได้แบ่งแยกและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์นั้น แม้ผูร้องจะชำระราคาและครอบครองที่ดินจำนวนเนื้อที่ ๑ไร่แล้ว การซื้อขายย่อมยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ฉะนั้น โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิยึดที่สดินทั้งแปลงของจำเลยที่ ๒ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาขาดทอดตลาดชำระหนี้ได้ เพราะแม้แต่การยึดที่ดินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษากับผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์รวมโดยยังไม่ได้แบ่งกันเป็นส่วนสัดนั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาถึงยังมีสิทธิยึดได้ทั้งแปลง แต่คดีนี้ผู้ร้องยังไม่มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่โจทก์นำยึด และโจทก์มิได้ตกลงจะไม่ขายส่วนของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิ์ร้องขัดทรัพย์ ทั้งนี้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าควรอนุญาตให้ผู้ร้องยื่นบัญชีระบุพยานและนำสืบพยานได้หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงอย่างใด ส่วนข้อที่ผู้ร้องว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะขอให้จดทะเบียนสิทธิในที่ดินได้ก่อน จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องร้องขัดทรัพย์ มิใช่เรื่องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง
จึงไม่มีประเด็นพิพาทกันในคดีนี้
พิพากษายืน

Share