แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การยื่นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ได้กำหนดให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง อันเป็นการกำหนดระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ไว้ซึ่งต่างกับการยื่นคำฟ้องในศาลชั้นต้นที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการยื่นฟ้องไว้ ดังนั้นหากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3จะขอแก้หรือเพิ่มเติมอุทธรณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ก็จะต้องยื่นภายในกำหนดอายุอุทธรณ์ด้วยเช่นกัน จะนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำร้องขอแก้และเพิ่มเติมอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดอายุอุทธรณ์แล้ว จึงรับไว้พิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์เดิมไม่ได้ คำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3มิใช่คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเพียงคำแถลงอย่างหนึ่งซึ่งทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้อ่านข้อความในคำแถลงประกอบคำรับสารภาพดังกล่าว และศาลชั้นต้นไม่ได้สอบจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ก็ตาม คำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 นั้น ก็ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นเป็นผู้สั่งให้พนักงานคุมประพฤติไปทำการสืบเสาะประวัติความประพฤติ และพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แล้วให้พนักงานคุมประพฤติทำรายงานเสนอต่อศาล เพื่อศาลจะได้ใช้รายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติดังกล่าวประกอบดุลพินิจในการลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เมื่อศาลชั้นต้นได้แจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่คัดค้าน และยืนยันให้การ รับสารภาพเช่นเดิมเช่นนี้ กระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้น กระทำต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันมีและผลิตแถบบันทึกภาพและเสียง(วีดีโอเทป) ลามก ทั้งนี้เพื่อความประสงค์แห่งการค้าเพื่อการจำหน่าย จ่ายแจก และเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งห้าได้พร้อมด้วยของกลางรวม 50 รายการที่จำเลยทั้งห้ามีไว้เป็นความผิดและใช้ในการกระทำความผิดผลิตวีดีโอเทปลามกดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1)(2), 32, 33 ริบของกลาง
จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1)(2) พิเคราะห์แล้วเห็นว่าของกลางมีจำนวนมากเชื่อว่าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ สมควรลงโทษสถานหนักลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 2 ปีจำเลยที่ 4 และที่ 5 จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 4,000 บาทจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 3 จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 4และที่ 5 จำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาทพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1เป็นเจ้าของกิจการ จำเลยที่ 2 เป็นผู้อัดถ่ายวีดีโอเทปลามกซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม และส่งเสริมให้มีการประกอบอาชญากรรมทางเพศ กิจการของจำเลยที่ 1 เป็นกิจการขนาดใหญ่ของกลางมีจำนวนมาก ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นสามีจำเลยที่ 1ไม่ยอมว่ากล่าวตักเตือนภรรยากลับร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดคำแถลงการณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังไม่มีเหตุผลจึงไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 4และที่ 5 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้รับเพียงเงินเดือนทั้งไม่ปรากฎว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนจึงสมควรให้โอกาสจำเลยที่ 4และที่ 5 กลับตัวเป็นคนดี ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 4 และที่ 5ไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 4 และที่ 5 โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปีให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ทำงานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์ตามที่จำเลยที่ 4 และที่ 5 กับพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือนลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 เดือนไม่ริบของกลางตามบัญชีทรัพย์ของกลางรายการลำดับที่ 38, 39และ 49 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมอุทธรณ์หลังจากครบกำหนดอายุอุทธรณ์หรือไม่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า การแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมอุทธรณ์ได้ก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 163 ประกอบมาตรา 215 เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมอุทธรณ์ของตนได้ก็ตามแต่การยื่นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198ได้กำหนดให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟังอันเป็นการกำหนดระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ไว้ซึ่งต่างกับการยื่นคำฟ้องในศาลชั้นต้นที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการยื่นฟ้องไว้ดังนั้น หากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะขอแก้หรือเพิ่มเติมอุทธรณ์ซึ่งเป็นอุทธรณ์ส่วนหนึ่ง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก็ต้องยื่นภายในกำหนดอายุอุทธรณ์ด้วยเช่นกันจะนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาในศาลชั้นต้นมาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้ เมื่อจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ยื่นคำร้องขอแก้และเพิ่มเติมอุทธรณ์ล่วงเลยกำหนดอายุอุทธรณ์แล้ว จึงรับไว้พิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์เดิมไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า การที่ทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ลงชื่อในคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้อ่านข้อความและศาลชั้นต้นไม่ได้สอบจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงเป็นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิใช่คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 เป็นเพียงคำแถลงอย่างหนึ่ง ซึ่งทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แม้จำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ไม่ได้อ่านข้อความในคำแถลงประกอบคำรับสารภาพดังกล่าวและศาลชั้นต้นไม่ได้สอบจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก็ตาม คำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นั้น ก็ชอบด้วยกฎหมายฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านรายงานการสืบเสาะและพินิจให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟัง และทนายความของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไม่มีโอกาสตรวจสอบข้อความในรายงานนั้น ทั้งศาลชั้นต้นสอบถามเพียงว่าจะคัดค้านหรือไม่เท่านั้น จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นเป็นผู้สั่งให้พนักงานคุมประพฤติไปทำการสืบเสาะประวัติ ความประพฤติและพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3แล้วให้พนักงานคุมประพฤติทำรายงานเสนอต่อศาลเพื่อศาลจะได้ใช้รายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติดังกล่าวประกอบดุลพินิจในการลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2540ได้ความว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบแล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่คัดค้านและยืนยันให้การรับสารภาพเช่นเดิมเช่นนี้ กระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นกระทำต่อจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน และที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ฎีกาว่า ทรัพย์ตามบัญชีของกลางคดีอาญาท้ายฟ้องอันดับที่ 1 ถึงที่ 3และอันดับที่ 7 ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นเครื่องเล่นวีดีโอเทปรวม184 เครื่อง ไม่ใช่ของผิดกฎหมาย หรือโดยสภาพไม่เกี่ยวข้องกับการอัดวีดีโอเทปลามก ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดเพียงแต่เป็นทรัพย์ที่เก็บรักษาไว้ในห้องที่เกิดเหตุเท่านั้นจึงเป็นทรัพย์ที่ริบไม่ได้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้พร้อมเครื่องเล่นวีดีโอเทปดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดผลิตวีดีโอเทปลามกเป็นของกลาง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่าเครื่องเล่นวีดีโอเทปดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการอัดม้วนวีดีโอเทปลามกได้ จึงเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดผลิตม้วนวีดีโอเทปลามกตามฟ้อง ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้ริบได้ที่ศาลล่างทั้งสองริบเครื่องเล่นวีดีโอเทปของกลางนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ประการสุดท้ายว่าสมควรลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สถานเบาและรอการลงโทษให้หรือไม่ เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มานั้นเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1ถึงที่ 3 มากอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่กำหนดโทษให้เบากว่านี้อีกส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่าตามบัญชีของกลางท้ายฟ้อง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีวีดีโอเทปลามกถึง 2,252 ม้วน แผ่นเลเซอร์ดิสลามกถึง 520 แผ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นจำนวนมาก การที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน