แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งสองข้อหานี้ แต่ลงโทษจำเลย ฐานลักทรัพย์โจทก์มิได้อุทธรณ์ความผิดในข้อหาปล้นทรัพย์และรับของโจร จึงถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น จำเลยไปพบทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปทิ้งไว้ริมทางรถไฟ จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะเมื่อผู้เสียหายมิได้ติดตามเอาทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปคืนจากคนร้าย ถือได้ว่าการครอบครองทรัพย์ ของผู้เสียหายได้ สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายได้แย่งการครอบครองไป การครอบครอง ทรัพย์จึงเป็นของคนร้ายจำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าว ไป จึง มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองไปจากผู้เสียหาย จำเลย ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายส่วนจำเลยจะมี ความผิด ฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตาม ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็น เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้าย 6 คนปล้นเอาทรัพย์สินหลายอย่างรวมทั้งโทรทัศน์1 เครื่องของผู้เสียหายไป ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกเป็นคนร้ายปล้นทรัยพ์ของผู้เสียหายหรือมิฉะนั้นจำเลยได้รับโทรทัศน์ดังกล่าวไว้จากคนร้าย โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 357 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334จำคุก 1 ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาลักทรัพย์อีกด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายหรือมิฉะนั้นก็รับของโจร โทรทัศน์ของกลางของผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายปล้นเอาไปไว้จากคนร้าย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหานี้ แต่ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์โทรทัศน์ของกลางของผู้เสียหาย โจทก์มิได้อุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ความผิดในข้อหาปล้นทรัพย์และรับของโจรจึงถึงที่สุดไปแล้ว คงมีปัญหาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คืนเกิดเหตุ เวลาประมาณ 1 นาฬิกามีคนร้ายประมาณ 7 คน เข้าปล้นทรัพย์ผู้เสียหายได้ทรัพย์สินไปหลายอย่างรวมทั้งโทรทัศน์ของกลางด้วย ครั้นรุ่งเช้ามีผู้พบจำเลยเดินแบกโทรทัศน์ของกลางไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะ ซึ่งบริเวณที่พบอยู่ห่างจากบ้านผู้เสียหายประมาณ7 – 8 กิโลเมตร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 บัญญัติว่า “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ฯลฯ ” ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าว ความผิดฐานลักทรัพย์มีองค์ประกอบภายนอกอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็นทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และส่วนที่ 2 เป็นการกระทำคือการเอาไปซึ่งมีความหมายว่า พาทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากการครอบครองของผู้อื่นด้วยการเข้าถือเอาทรัพย์โดยผู้ครอบครองเดิมไม่อนุญาต จึงเห็นได้ว่าการเอาไปตามมาตรา 334 นี้ ประกอบด้วยการกระทำ 2 ประการคือ แย่งการครอบครองประการหนึ่ง และพาเคลื่อนที่ไปอีกประการหนึ่ง ดังนี้ เมื่อโทรทัศน์ของกลางถูกคนร้ายปล้นเอาไปจากการครอบครองของผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายมิได้ออกติดตามเอาทรัพย์สินที่ถูกปล้นไปคืนจากคนร้ายแต่อย่างใด จนกระทั่งรุ่งเช้าจึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ แสดงว่า การครอบครองโทรทัศน์ของกลางของผู้เสียหายได้สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายปล้นทรัพย์ได้แบ่งการครอบครองไป การครอบครองโทรทัศน์ของกลาง จึงเป็นของคนร้าย ฉะนั้นขณะที่จำเลยพบโทรทัศน์ของกลางและเอาไปซุกซ่อนไว้ดังกล่าว จึงมิใช่เป็นการแบ่งการครอบครองไปจากผู้เสียหายจำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์โทรทัศน์ของผู้เสียหายแต่อย่างใด ส่วนจำเลยจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 4
พิพากษายืน