คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1885/2516

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่นาเนื้อที่ 13 ไร่เศษ ตั้งอยู่หมู่ที่ 10 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ แต่โจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยบุกรุกที่ดินในหมู่ที่ 3 มีเนื้อที่ 16-20 ไร่ ผิดจากฟ้องทั้งเนื้อที่กับที่ตั้งของที่ดินแสดงว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง จะลงโทษจำเลยฐานบุกรุกที่ดินตามฟ้องไม่ได้ และกรณีเช่นนี้จะถือว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้หาได้ไม่

ย่อยาว

จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 17 เดือนสิงหาคมพุทธศักราช 2514

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2513 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเข้าไปในที่ดินนาของนางสมุห์ ฉัตรทอง เพื่อยึดถือการครอบครองที่ดินนาทั้งแปลงเป็นเนื้อที่ 13 ไร่ 3 งาน 80 วา ราคา 1,600 บาท ซึ่งตั้งอยู่หมู่ 10 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ โดยจำเลยร่วมกันบุกรุกเข้าไปไถคราดดิน ทำนาในที่ดินดังกล่าวอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของนางสมุห์ ฉัตรทอง โดยปกติสุข โดยเจตนายึดถือเอาที่ดินดังกล่าวทั้งหมดเป็นของจำเลย เหตุเกิดที่ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 365

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาฟังว่า นาพิพาท นายเตียนจำเลยที่ 2 ได้ขายให้นางสมุห์ ผู้เสียหายแล้วตามเอกสารหมาย จ.1(ก) (ข) และ จ.2 จ.3 และต่อมาได้ขอรับรองการทำประโยชน์ได้รับ น.ส. 3 แล้วตามเอกสาร จ.4 (ก) (ข) แม้เอกสารดังกล่าวจะเป็นภาพถ่าย แต่ผู้เสียหายกับร้อยตำรวจตรีสุรเทพยืนยันว่าเป็นภาพถ่ายจากต้นฉบับจริง จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ว่าที่พิพาทเป็นของนางสมุห์ผู้เสียหาย การที่จำเลยที่ 2ใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปไถที่พิพาท ถือได้ว่าเป็นตัวการทำการไถที่พิพาทโดยจำเลยที่ 2 มีเจตนาจะเอาที่พิพาทเป็นของตนอีก พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365, 83 ให้จำคุกคนละ 2 เดือน ปรับคนละ 200 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้คนละ 1 ปี บังคับค่าปรับตามมาตรา 29, 30

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ข้อเท็จจริงว่า นาพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2และอุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องว่านาพิพาทตั้งอยู่หมู่ที่ 10 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ แต่ผู้เสียหายนำสืบว่า ที่ดินที่จำเลยทั้งสองบุกรุกตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ ข้อเท็จจริงตามฟ้องจึงต่างกับข้อเท็จจริงในทางพิจารณาในข้อสารสำคัญ ศาลไม่ควรลงโทษจำเลย

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 2 ได้ขายนาพิพาทให้นายเชยสามีผู้เสียหายแล้วตามเอกสารภาพถ่ายสัญญาซื้อขายหมาย จ.1(ก) จ.2(ก) และ จ.3 ส่วนอุทธรณ์ข้อกฎหมายเป็นจริงดังจำเลยอุทธรณ์ คือที่ดินที่จำเลยบุกรุกอยู่หมู่ที่ 3 ไม่ใช่หมู่ที่ 10 ตามฟ้อง แต่ตามข้อนำสืบของจำเลยก็รับว่าที่ดินที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถเป็นแปลงเดียวกับที่โจทก์ฟ้อง และจำเลยยังระบุทิศทางเขตติดต่อตรงกับที่พิพาทด้วย จำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตาม มาตรา 364 ไม่ถูกต้อง จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365, 83 นอกจากนี้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาข้อ 3

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยฎีกาข้อกฎหมายตามข้อ 3เช่นเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ว่า ที่ดินนาตามฟ้องตั้งอยู่หมู่ที่ 10 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าตั้งอยู่หมู่ที่ 3 อันเป็นข้อเท็จจริงในสารสำคัญแห่งคดี ไม่ควรลงโทษจำเลย ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ฟังว่าเป็นจริงดังจำเลยอุทธรณ์ ปัญหาจึงมีว่าจะลงโทษจำเลยฐานบุกรุกที่ดินตามฟ้องได้หรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ระบุชัดว่าที่ดินนาที่จำเลยร่วมกันบุกรุกทั้งแปลงมีเนื้อที่ 13 ไร่ 3 งาน 80 วา ตั้งอยู่หมู่ที่ 10 ตำบลแกใหญ่ แต่โจทก์นำสืบนางสมุห์ ผู้เสียหายกับนายใส ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปไถที่นาของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในหมู่ 3 ตำบลแกใหญ่ และผู้เสียหายยังเบิกความว่าที่นามีเนื้อที่ประมาณ 16-20 ไร่ด้วย ซึ่งผิดจากฟ้องทั้งเนื้อที่กับที่ตั้งของที่ดินเป็นคนละแปลงแสดงว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง คือจำเลยไม่ได้บุกรุกที่นาของผู้เสียหายที่อยู่ในหมู่ 10 เนื้อที่ 13 ไร่เศษตามฟ้องเลย จึงลงโทษจำเลยฐานบุกรุกที่นาตามฟ้องไม่ได้

ที่ศาลอุทธรณ์อ้างว่า ตามข้อนำสืบของจำเลยก็รับว่าที่ดินที่จำเลยบุกรุกเป็นแปลงเดียวกับที่โจทก์ฟ้องนั้น ผิดจากข้อเท็จจริงในสำนวน เพราะจำเลยที่ 2 เบิกความว่า นาพิพาทอยู่ในเขตปกครองของผู้ใหญ่ใส ซึ่งหมายความว่านาพิพาทอยู่ในหมู่ 3 ไม่ใช่หมู่ 10 ตามฟ้อง เพราะนายใสพยานโจทก์เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ตำบลแกใหญ่ ซึ่งยืนยันว่านาพิพาทอยู่ในหมู่ 3 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์อ้างว่า จำเลยยังระบุทิศทางเขตติดต่อกับที่พิพาทด้วยนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ชี้ว่า ที่พิพาทหมู่บ้านไหน ทั้งคำว่า “ที่พิพาท” ต้องหมายถึงที่นาหมู่ 10 ตามฟ้อง ไม่ใช่ที่นาหมู่ 3 ตามที่โจทก์นำสืบ ตามคำจำเลยทั้งสองก็ระบุว่า นาที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปไถอยู่หมู่ที่ 3บ้านจะจรูก ซึ่งนายใส พยานโจทก์ว่า หมู่ที่ 3 เรียกว่าบ้านจะจรูก จึงไม่ใช่หมู่ 10 ตามฟ้องซึ่งเป็นที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุก ฉะนั้น ศาลอุทธรณ์จะอ้างว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้โดยเห็นว่า ที่ดินที่จำเลยบุกรุกเป็นแปลงเดียวกับแปลงที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องอยู่แล้ว ซึ่งเท่ากับปฏิเสธว่าจำเลยมิได้บุกรุกที่นาหมู่ 10 ตามฟ้องเลย แต่โจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยบุกรุกที่นาหมู่ 3 ซึ่งเป็นคนละแปลงกับที่นาหมู่ 10ตามฟ้อง เป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ด้วย จะลงโทษจำเลยไม่ได้

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share