คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1885/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของจำเลยโดยมีข้อสัญญาว่า ให้โจทก์ผ่อนชำระราคา 60 เดือน กำหนดให้ชำระภายในวันที่ 5 ของเดือน ถ้าผิดนัดโจทก์ยอมให้จำเลยริบเงินที่ชำระแล้ว โดยไม่ต้องทวงถามกันอีก และให้ถือว่าเป็นการเลิกสัญญาด้วย โจทก์ชำระตามกำหนดเพียง 8 งวด ต่อจากนั้นได้ชำระคลาดเคลื่อนไปจากวันที่กำหนดไว้บ้าง 2 เดือน 3 เดือนชำระครั้งบ้าง แม้กระทั่งค้างชำระอยู่ถึง 10 งวดแล้วจึงชำระในคราวเดียวกัน จำเลยก็ยอมรับชำระตลอดมา แสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาถือเอากำหนดเวลาชำระเงินค่าที่ดินเคร่งครัดตามข้อสัญญา ต่อมาโจทก์มิได้ชำระเงินอยู่ปีกว่า แล้วจึงส่งเงินที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดชำระให้ในคราวเดียวกัน จำเลยจะไม่ยอมรับเงินโดยถือว่าสัญญาได้เลิกกันแล้วและริบเงินที่ได้ชำระแล้วเสีย ดังนี้ หาได้ไม่ เพราะเมื่อไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระเงินเป็นข้อผูกพันซึ่งกันและกันแล้ว เมื่อครบกำหนด 60 เดือนตามสัญญา โจทก์ยังชำระหนี้ไม่ครบ จำเลยมีหน้าที่ต้องบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควร หากโจทก์ยังไม่ชำระจำเลยจึงจะมีสิทธิเลิกสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน 120ตารางวา เป็นเงิน 21,600 บาท โดยผ่อนชำระภายใน 60 เดือน โจทก์ได้ชำระเงินครบแล้ว จำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้ ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินหรือคืนเงินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า โจทก์ชำระค่าที่ดินคลาดเคลื่อนจากที่กำหนดไว้ในสัญญาตลอดมา ต่อมาก็ผิดนัดจนจำเลยต้องทวงถาม ครั้งสุดท้ายจำเลยเก็บเงินงวดที่ 42 ถึง 51 แล้วได้แจ้งแก่โจทก์ว่าการชำระเงินครั้งต่อไปหากผิดนัดจำเลยจะถือว่าโจทก์ผิดนัดและเลิกสัญญากันทันทีหลังจากนั้นโจทก์ก็ผิดนัดไม่ชำระเป็นรายเดือนอีก ต่อมาจำเลยได้รับหนังสือกับธนาณัติส่งเงินจากโจทก์ จำเลยได้ส่งธนาณัติกับจดหมายแจ้งไปยังโจทก์ว่าไม่รับเงินเพราะโจทก์ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเอาที่ดินหรือเอาเงินคืน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์หรือชดใช้เงิน21,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่าเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2504 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยเป็นเงิน 21,600 บาท โดยผ่อนชำระราคา 60 เดือน ๆ ละ 360 บาทตามสัญญาข้อ 2 โจทก์ได้ชำระเงินเดือนแรกในวันทำสัญญา ส่วนเดือนต่อ ๆ ไปโจทก์จะชำระภายในวันที่ 5 ของเดือนแล้ว โจทก์ได้ชำระเงินตามกำหนดทุกเดือน จนถึงงวดที่ 8 ต่อจากนั้นเริ่มชำระคลาดเคลื่อน แต่ก็ได้ชำระทุกเดือนจนถึงงวดที่ 29 หลังจากนั้นโจทก์ชำระ 2 งวดต่อครั้งบ้าง 3 งวดต่อครั้งบ้าง ส่วนงวดที่ 42 ถึง 51 โจทก์ชำระครั้งเดียว 10 งวด เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2508 แล้วโจทก์ก็ว่างเว้นไปอีก จนวันที่ 14 มีนาคม 2510 โจทก์จึงทำหนังสือส่งเงิน 3,250 บาทสำหรับอีก 9 งวดที่ค้างชำระมาให้จำเลยทางธนาณัติ จำเลยไม่ยอมรับเงินโดยส่งธนาณัติกลับคืน อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา แต่โจทก์ไม่ยอมรับจดหมายและธนาณัติที่จำเลยคืนมา โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยไม่ยอม

เห็นว่า แม้ตามสัญญาข้อ 6 จะกำหนดไว้ว่าผู้ซื้อจะต้องชำระเงินภายในกำหนดทุก ๆ เดือน หากผู้ซื้อผิดนัดไม่ส่งเงินตามสัญญาข้อ 2 ยอมให้ผู้ขายริบเงินที่วางไว้แล้วโดยไม่ต้องมีการทวงถามกันอีก และให้ถือว่าเป็นการเลิกสัญญาด้วย แต่ตามที่ปฏิบัติต่อกันเมื่อโจทก์ผิดนัดไม่ส่งเงินตามกำหนดเริ่มตั้งแต่งวดที่ 9 เป็นต้นมา และต่อมาส่งให้ 2 เดือนต่อครั้งบ้าง 3 เดือนต่อครั้งบ้าง ครั้งสุดท้ายก่อนที่โจทก์จะส่งเงินให้จำเลยทางธนาณัติ โจทก์ค้างชำระอยู่ถึง 10 งวด จึงได้ชำระให้จำเลยรวม 3,600 บาทเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2507 จำเลยก็ยอมรับตลอดมาโดยไม่ถือว่าโจทก์ผิดนัด ผิดสัญญาแต่อย่างใดเพราะถ้าถือตามสัญญาข้อ 6 โดยเคร่งครัดแล้ว สัญญาย่อมเลิกกันแล้วตั้งแต่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระเงินงวดที่ 9 ภายในกำหนด จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะรับเงินงวดต่อ ๆ มาจากโจทก์อีก แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยยังรับเงินจากโจทก์เรื่อยมา จึงแสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดเวลาชำระเงินค่าที่ดินเคร่งครัดตามข้อสัญญาแต่ประการใด เมื่อฟังว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาจะไม่ถือกำหนดเวลาชำระเงินเป็นข้อผูกพันซึ่งกันและกันแล้ว เมื่อครบกำหนด 60 เดือนตามสัญญา โจทก์ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 คือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในระยะเวลาพอสมควร หากโจทก์ยังไม่ชำระ จำเลยจึงจะมีสิทธิเลิกสัญญาได้ กรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยยังไม่มีสิทธิเลิกสัญญาและริบเงินที่โจทก์ส่งมาแล้วได้

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share