คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1882/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว โดยระบุว่ามีทรัพย์สิน คือ ที่นาหนึ่งแปลงราคา 10,000 บาท ว. ทำคำรับรอง ว่านายประกันมีหลักทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์นี้จริงและราคาพอสมควร ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า ว. ไม่ได้รับรองเลยว่า ว. รู้จักกับผู้ที่มีชื่อตามคำร้องขอให้ปล่อยนั้น แม้จะได้ความว่า ว. ไม่รู้จักบุคคลนั้น ก็ไม่อาจถือว่าคำรับรองนั้นเป็นความเท็จ

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากคดีเดิมซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนางจิจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ให้ปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ นางจิจำเลยขอผ่อนชำระค่าปรับ 15 วัน โดยมีนายยูโส๊ะยื่นคำร้องขอให้ปล่อยจำเลยชั่วคราว โดยระบุว่ามีทรัพย์สินคือที่นาหนึ่งแปลงเนื้อที่ 9 ไร่เศษ ตาม ส.ค.1 ที่ส่งพร้อมกับคำร้องราคา 10,000 บาท ในคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวมีนายวิชิต กรมเมืองเป็นผู้รับรองว่านายประกันมีหลักทรัพย์ตามบัญชีที่แนบมากับคำร้องจริง และราคาพอสมควร หากมีการยึดทรัพย์เกิดขึ้น นายวิชิตจะเป็นผู้นำเจ้าพนักงานไปทำการยึดทรัพย์ ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการยึดทรัพย์ทั้งสิ้น ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยมีประกันตัวโดยตีราคาให้นายประกันรับผิดชอบใช้เงิน 1,000 บาท จากนั้นมามีการชำระค่าปรับบ้าง คงค้างเพียง 500 บาท ถึงวันนัดจำเลยผิดนัด ไม่นำค่าปรับที่ค้างมาชำระ และนายประกันไม่มาศาล ศาลสั่งว่านายประกันผิดสัญญาปรับตามสัญญาประกัน ให้ออกหมายจับจำเลยมากักขัง ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดให้นายประกันโดยให้พนักงานสอบสวนจัดการส่ง พนักงานสอบสวนแจ้งว่านายยูโส๊ะถึงแก่กรรมเมื่อประมาณ 5 ปีมาแล้ว ส่งหมายนัดให้ไม่ได้ศาลชั้นต้นจึงออกหมายนัดให้นายวิชิตผู้รับรองหลักทรัพย์ของนายยูโส๊ะมาสอบถาม นายวิชิตมาแถลงว่านายวิชิตรู้จักนางจิจำเลยและหลักทรัพย์ดังกล่าวดี แต่สำหรับนายยูโส๊ะที่มีชื่อใน ส.ค.1 (ที่นำมาเป็นหลักประกัน) ทราบว่าเดิมเป็นสามีนางจิ นายวิชิตไม่รู้จักสามีนางจิและเพิ่งทราบว่านายยูโส๊ะตายไปแล้ว ส่วนผู้ที่เอา ส.ค.1 มาประกันก็เพิ่งทราบว่าคือนายดอละสามีคนปัจจุบันของนางจิ นายวิชิตไม่รู้จักนายดอละวันเดียวกันนางเจ๊ะบ๊ะลูกสะใภ้นางจินำเงินที่ศาลสั่งปรับนายประกัน 1,000 บาทกับเงินค่าปรับของนางจิที่ค้างชำระมาชำระจนครบ และนายวิชิตไม่สามารถตามตัวนายดอละสามีคนปัจจุบันของนางจิมาศาลตามกำหนด

ศาลชั้นต้นเห็นว่านายวิชิตผู้รับรองหลักทรัพย์นายประกันไม่รู้จักกับนายยูโส๊ะและนายดอละซึ่งนายวิชิตว่าเป็นผู้เอาหลักทรัพย์ ส.ค.1 มายื่นประกัน พฤติการณ์ส่อไปในทางแจ้งความเท็จต่อศาล เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลให้จำคุกนายวิชิต3 เดือน และให้ดำเนินคดีฐานแจ้งความเท็จ

นายวิชิต กรมเมือง อุทธรณ์ว่า การกระทำของตนไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ปล่อยตัวนายวิชิต กรมเมือง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อความที่นายวิชิตรับรองในคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวว่า “ข้าพเจ้านายวิชิต กรมเมือง ฯลฯ ขอรับรองว่านายประกันมีหลักทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์นี้จริงและราคาพอสมควรหากมีการยึดทรัพย์เกิดขึ้น ข้าพเจ้าจะเป็นผู้นำเจ้าพนักงานไปทำการยึดทรัพย์ ฯลฯ” ทั้งนี้ ย่อมเห็นได้ว่านายวิชิตไม่ได้รับรองเลยว่านายวิชิตรู้จักนายยูโส๊ะ ฉะนั้น แม้จะปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาว่านายวิชิตไม่รู้จักนายยูโส๊ะ ข้อที่นายวิชิตไม่รู้จักนายยูโส๊ะจึงหาเป็นความเท็จผิดไปจากคำรับรองที่ได้ให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นไม่ นายวิชิตได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า นายวิชิตรู้จักนางจิจำเลยและรู้จักหลักทรัพย์(คือที่นา ส.ค.1 เลขที่ 187) ดี ความข้อนี้ก็ไม่มีใครกล่าวอ้างว่าเป็นความเท็จ ฉะนั้น การที่นายวิชิตซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับนางจิจำเลยและรู้จักที่นาที่จะนำมาวางเป็นหลักประกันดี ประกอบกับนายวิชิตเคยรู้อยู่แล้วว่าสามี นางจิจำเลยชื่อยูโส๊ะแม้นายวิชิตจะไม่รู้จักตัวนายยูโส๊ะก็ตาม เมื่อนายวิชิตได้เห็นมีชื่อนายยูโส๊ะอยู่ใน ส.ค.1 จริง นายวิชิตก็อาจเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจแล้วทำคำรับรองให้ตามที่นางจิจำเลยขอร้องก็ได้คดีไม่ปรากฏว่านายวิชิตได้รู้เห็นว่าผู้ลงชื่อในคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวฉบับดังกล่าวนั้นไม่ใช่ตัวนายยูโส๊ะ และคดีนี้ก็ยังไม่ได้มีการสั่งให้นายวิชิตไปนำยึดทรัพย์ที่ระบุไว้ในบัญชีทรัพย์ตามคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวแต่อย่างใดเลย ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้จะให้ถือว่านายวิชิตได้ทำคำรับรองอันเป็นเท็จให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นแล้วยังหาได้ไม่ แม้ศาลชั้นต้นเองก็ใช้คำพูดแต่เพียงว่าพฤติการณ์ของนายวิชิต กรมเมือง ส่อไปในทางแจ้งความเท็จต่อศาล” เท่านั้น การกระทำของนายวิชิตจึงยังไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

พิพากษายืน

Share