แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อปี 2547 โดยวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ย่อมมีผลผูกพันคู่ความรวมทั้งโจทก์ด้วย และเมื่อเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์ อันเป็นคุณแก่โจทก์จึงอาจใช้ยันจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง (2) ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับ จ. เป็นจำเลยต่อศาลแขวงอุบลราชธานี จึงมิใช่กรณียังไม่เป็นที่ยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ต่อมาเมื่อปี 2551 จำเลยที่ 1 กับ จ. ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์จนศาลพิพากษาลงโทษและให้ออกไปจากที่ดินพิพาท จากนั้นปี 2552 จำเลยทั้งสองยังเข้าไปในที่ดินพิพาทอีกจนถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ถือว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิดฐานบุกรุกที่ดินพิพาทแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 362, 365 (2) และขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1904/2551 หมายเลขแดงที่ 722/2552 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) ประกอบมาตรา 362 จำคุกคนละ 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษ ให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 722/2552 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลรอการลงโทษจำคุกไว้ จึงนับโทษต่อจากคดีดังกล่าวไม่ได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความ ผิดฐานบุกรุกที่ดินพิพาทหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทเพราะศาลได้มีคำสั่งให้งดการบังคับคดี จำเลยทั้งสองจึงเชื่อโดยสุจริตว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับนายจำนงค์เป็นจำเลยต่อศาลแขวงอุบลราชธานีเพื่อขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 116/2554 จึงยังไม่เป็นที่ยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์นั้น เห็นว่า ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีหมายเลขแดงที่ 1690/2541 ซึ่งถึงที่สุดแล้วนั้น ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวเพียงแต่มีคำสั่งว่าให้งดการบังคับคดีแก่ผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 คดีนี้เพราะมิใช่บริวารของจำเลยทั้งสองและผู้ร้องสอดในคดีดังกล่าวเท่านั้น หาได้มีคำสั่งแสดงให้น่าเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใดไม่ ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับนายจำนงค์เป็นจำเลยต่อศาลแขวงอุบลราชธานี เพื่อขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 116/2554 ตามสำเนาคำฟ้องท้ายฎีกาของจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องในคดีดังกล่าวว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมรับคำพิพากษาและอ้างสิทธิซ้ำซ้อน จึงต้องนำมาฟ้องศาลเพื่อพิสูจน์สิทธิอีกทีหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ย่อมมีผลผูกพันคู่ความรวมทั้งโจทก์ด้วย และเมื่อเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์ อันเป็นคุณแก่โจทก์จึงอาจใช้ยันจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับนายจำนงค์เป็นจำเลยต่อศาลแขวงอุบลราชธานีดังกล่าว จึงมิใช่กรณียังไม่เป็นที่ยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกามาแต่อย่างใด ประกอบกับได้ความตามคำเบิกความของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยที่ 1 เป็นน้องสาวนางสมหมาย และเป็นหลานของนางแผน ทั้งสามพักอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันตั้งแต่จำเลยที่ 1 ยังเป็นเด็กจนปัจจุบัน แม้บางเวลาจำเลยทั้งสองจะไปพักที่เถียงนาพิพาทก็ตาม ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 1 นางสมหมายก็ร่วมทำนาอยู่ในที่ดินหมายเลข 293 กับจำเลยที่ 1 ด้วย ในชั้นขอปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสองตามสัญญาประกันฉบับลงวันที่ 26 ตุลาคม 2552 นางแผนก็เป็นผู้ประกันตามสัญญาดังกล่าว อีกทั้งเมื่อพิจารณาสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 3188 ประกอบสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1837 แล้วเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีชื่อร่วมกับนางสมหมายในการมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงหมายเลข 293 มาตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2538 เช่นนี้ ตามพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเชื่อว่าจำเลยทั้งสองทราบดีว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ชนะคดีนางสมหมายและนางแผนในคดีแพ่งดังกล่าวอยู่ที่ใด ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองซึ่งครอบครองที่ดินแปลงหมายเลข 293 และภายหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้ว ต่อมาปี 2551 จำเลยที่ 1 กับนายจำนงค์เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์จนศาลพิพากษาลงโทษและให้ออกไปจากที่ดินพิพาทมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้นในปี 2552 จำเลยทั้งสองยังเข้าไปในที่ดินพิพาทนี้อีกจนถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ถือว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิดฐานบุกรุกที่ดินพิพาทแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน