แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินทุนของรัฐบาลมาเลเซียซึ่งจำเลยที่1ได้รับโอนตรงจากประเทศมาเลเซียเป็นเงินทุนของการให้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลและถูกควบคุมดำเนินการโดยทางราชการตามระเบียบมิใช่เป็นเรื่องจำเลยที่1ได้รับทุนเป็นส่วนตัวและทุนดังกล่าวเป็นทุนที่รัฐบาลต่างประเทศมอบให้รัฐบาลไทยเพื่อส่งข้าราชการไปศึกษาฝึกอบรมทั้งนี้ไม่ว่าทุนนั้นจะจ่ายผ่านกระทรวงหรือจ่ายให้ผู้รับทุนโดยตรง กรณีที่จำเลยที่1ผิดสัญญาเกี่ยวกับการใช้ทุนความเสียหายดังกล่าวเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างจำเลยที่1ปฏิบัติราชการอยู่และอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่3จะต้องรับผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์ ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ไปศึกษาต่อชั้นปริญญาโท ณ ประเทศมาเลเซียโดยสัญญาว่าเมื่อจำเลยที่ 1 เสร็จการศึกษาจะกลับมาทำงานต่อให้โจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่ม ทั้งนี้สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากันหากผิดสัญญาจะต้องชดใช้ทุนคืนโจทก์และจ่ายเบี้ย ปรับ จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันยินยอมชำระหนี้แก่โจทก์ตามความรับผิดของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 มีความประพฤติดี หากจำเลยที่ 1 ทำความเสียหายแก่โจทก์ ก็ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 30,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 57,566.26 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด 30,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การทำนองเดียวกันว่า ทุนที่จำเลยที่ 1ได้รับเป็นทุนของประเทศมาเลเซียให้แก่จำเลยที่ 1 โดยตรงมิใช่ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ออกเงินจึงไม่ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า การค้ำประกันของจำเลยที่ 3 เป็นกรณีก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เนื่องจากการทำงาน มิใช่เกิดจากการลาออกก่อนครบกำหนด จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 กันยายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมกันชำระแทนเฉพาะจำเลยที่ 3 ให้ชำระดอกเบี้ยแทนในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นให้ยก
โจทก์ และ จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน41,555.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 12 กันยายน2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 16,010.39 บาทตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระแทนโดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเพียง 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินทุนของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งจำเลยที่ 1ได้รับจากประเทศมาเลเซียเป็นเงินทุนของการให้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และถูกควบคุมดำเนินการโดยทางราชการตามระเบียบแบบแผนที่วางไว้มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ได้รับทุนเป็นส่วนตัวหรือติดต่อกันเอง โดยมิได้ผ่านทางหน่วยงานราชการและทุนดังกล่าวตามระเบียบคือทุนประเภท 1 (ข) อันหมายถึงทุนที่รัฐบาลต่างประเทศ องค์การระหว่างประเภท องค์การต่างประเทศหรือนิติบุคคลต่างประเทศ มอบให้รัฐบาลไทยเพื่อส่งข้าราชการไปศึกษาฝึกอบรม ดูงานหรือปฏิบัติการวิจัย ตามที่กรมวิเทศสหการจะได้ประกาศให้ทราบ ทั้งนี้ไม่ว่าทุนนั้นจะจ่ายผ่านกระทรวงหรือกรมหรือจ่ายให้ผู้รับทุนโดยตรง หรือจ่ายโดยวิธีอื่นใด ดังนี้ เงินทุนของรัฐบาลมาเลเซียซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับโดยตรงที่ประเทศมาเลเซียย่อมรวมอยู่ในจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ตามสัญญา
กรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเกี่ยวกับการใช้ทุน ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ปฏิบัติราชการอยู่ และอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิด
พิพากษายืน