คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1871/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นไว้หลายประการว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีผลบังคับและค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินไป ซึ่งจำเลยย่อมมีสิทธินำสืบต่อสู้ตามประเด็นดังกล่าวได้เพียงแต่โจทก์อ้างส่งเอกสารเป็นพยานโดยมิได้มีพยานบุคคลมานำสืบประกอบ จะฟังเป็นจริงตามเอกสารดังกล่าวยังไม่ได้ และจำเลยมีสิทธินำสืบหักล้างเอกสารเหล่านั้นได้ด้วย การที่ศาลชั้นต้นด่วนสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสีย ทำให้ข้อเท็จจริงในคดีไม่กระจ่างชัดแจ้งพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบริษัทจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโจทก์มอบอำนาจให้นางสุรณีย์ ไชยอนันต์ ฟ้องและดำเนินคดีแทน จำเลยกับโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเช่าที่ส่วนหนึ่งของโจทก์เพื่อประกอบกิจการค้าอาหารจนถึงสื้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๖ และจำเลยต้องชำระค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ ๔,๐๐๐ บาท หากถึงกำหนดแล้ว จำเลยไม่ออกจากที่พิพาทยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงินวันละ ๕๐๐ บาท ครั้นถึงกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาท ทำให้โจทก์เสียหายคิดเท่าค่าปรับวันละ ๕๐๐ บาท นับตั้งแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑๐๐ วัน เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นนิติบุคคล เพราะมิได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นางสุรณีย์ ไชยอนันต์ฟ้อง ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริง จำเลยกับโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันจริง แต่จำเลยมิได้ผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ ไม่มีสิทธิทำสัญญาดังกล่าว จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่มีผลบังคับ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกึ่งให้จำเลยนำสืบก่อน ถึงวันนัดโจทก์แถลงข้ออ้างส่งเอกสารหนังสือมอบอำนาจ หนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ สัญญาประนีประนอมยอมความ และหนังสือบอกกล่าวให้ออกจากที่พิพาท ศาลชั้นต้นรับไว้หมาย จ.๑ ถึง จ.๔ ตามลำดับ และเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยให้การรับว่าทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ จำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญานั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าสัญญาดังกล่าวไม่มีผลบังคับฟังไม่ได้และโจทก์เสียหายเท่ากับค่าปรับตามสัญญา พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท และให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นไว้หลายประการ โดยต่อสู้ว่าโจทก์มิได้เป็นนิติบุคคล เพราะไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นางสุรณีย์ ไชยอนันต์ ฟ้องคดีแทน ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจมิใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลบังคับเพราะจำเลยมิใช่ผู้เช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินไปซึ่งจำเลยย่อมมีสิทธินำสืบต่อสู้ตามประเด็นดังกล่าวได้ เพียงแต่โจทก์อ้างส่งเอกสารเป็นพยานโดยมิได้มีพยานบุคคลมานำสืบประกอบโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๓ จึงจะฟังเป็นจริงตามเอกสารดังกล่าวยังไม่ได้ และจำเลยก็มีสิทธินำสืบหักล้างเอกสารเหล่านั้นได้ ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงสมควรที่จะให้โจทก์จำเลยนำสืบพยานในประเด็นแห่งคดีดังกล่าวให้สิ้นกระแสความเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นด่วนสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้น จึงทำให้ข้อเท็จจริงในคดีไม่กระจ่างชัดแจ้งพอที่จะวินิจฉัยคดีได้
พิพากษายืน

Share