คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1868/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องมอบอำนาจให้ ธ. เป็นผู้ดำเนินการแทนนับแต่การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแพ่ง และการนำทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดตลอดจนการนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ธ. จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้สามัญหรือมีหลักประกันและในวันที่ ธ.ไปให้ปากคำในชั้นสอบสวนเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็เป็นเวลาหลังจากที่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองอันเป็นหลักประกันของหนี้รายนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงต้องด้วยมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ โดยตรง ผู้ร้องไม่อาจอ้างความพลั้งเผลอมาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อหวังเอาประโยชน์จากหลักประกันต่อไปอีกได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3, ที่ 4, ที่ 5 ล้มละลายผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 5 ยื่นคำขอรับชำระหนี้โดยไม่มีหลักประกัน ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงินสองล้านบาทเศษ จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 5 ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า หนี้ของผู้ร้องดังกล่าวเป็นหนี้มีหลักประกันไม่ติดใจขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สิน แต่ประสงค์จะบังคับจากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ผู้ร้องรับชำระหนี้ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องใหม่ว่า เนื่องจากความพลั้งเผลอโดยเข้าใจผิดว่าหนี้เป็นหนี้สามัญ จึงขอแก้ไขคำร้องขอรับชำระหนี้เป็นเจ้าหนี้มีประกันโดยมีเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 96(2)เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า ผู้ร้องทราบดีว่าเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่ปกปิดความจริงเพื่อจะรับชำระหนี้โดยได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น และคำขอรับชำระหนี้ถึงที่สุดและพ้นกำหนด 2 เดือนไปแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้สามัญ ทั้งที่ความจริงหนี้จำนวนนี้เป็นหนี้ที่มีหลักประกันนั้น การปฏิบัติดังกล่าวของผู้ร้องเกิดขึ้นเนื่องจากความพลั้งเผลอ ดังที่ผู้ร้องฎีกาอันจะทำให้สิทธิเหนือหลักประกันนั้นยังคงมีอยู่ หรือเป็นด้วยผู้ร้องมีเจตนาปกปิดเพื่อให้ตนได้รับชำระหนี้อันเป็นการได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายธวัชชัยหุตะจินดา เป็นผู้ดำเนินการแทนในเรื่องนี้ นับตั้งแต่การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 15724/2523 ของศาลชั้นต้น และการนำทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาด ตลอดจนการนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนี้ นายธวัชชัยจึงอยู่ในฐานะเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นเป็นอย่างดีว่าหนี้จำนวนนี้เป็นหนี้สามัญหรือว่ามีหลักประกัน และปรากฏว่าในวันที่นายธวัชชัยไปให้ปากคำในชั้นสอบสวนเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นก็เป็นเวลาภายหลังที่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองอันเป็นหลักประกันของหนี้รายนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏดังกล่าวจึงเป็นการแสดงอย่างชัดแจ้งว่านายธวัชชัยทราบดีอยู่ตลอดมาตั้งแต่แรกแล้วว่า หนี้รายนี้มีหลักประกัน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นกรณีต้องด้วยมาตรา 97แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ โดยตรง ผู้ร้องไม่อาจอ้างความพลั้งเผลอมาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อหวังเอาประโยชน์จากหลักประกันต่อไปอีกได้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share