คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1861/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ป.พ.พ. มาตรา 1713 บัญญัติให้ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ ร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้เมื่อมีกรณีตามที่ระบุไว้ในอนุมาตรา (1) ถึง (3) โดยมิได้บัญญัติว่าผู้จัดการมรดกจะต้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกแต่บังคับว่าผู้ที่จะร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดกจะต้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ ดังนั้น ผู้ร้องจะขอให้ศาลตั้งบุคคลภายนอกเป็นผู้จัดการมรดกก็ได้ หากบุคคลผู้นั้นไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718.

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจ่างกับนางแหวว สำรวจหันต์หรือสำรวลหรรษ์ นายจ่างถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2514 โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ผู้วายชนม์มีทรัพย์มรดกหลายรายการ นายอุดม สำรวลหันต์หรือสำรวลหรรษ์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ตามคำสั่งศาลจังหวัดนครปฐม นายอุดมประพฤติผิดหน้าที่และศาลฎีกาพิพากษาให้ถอดถอนนายอุดมจากการเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้แล้ว แต่การจัดการมรดกยังไม่เสร็จสิ้นและมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก ผู้ร้องทั้งสามจึงขอให้ศาลตั้งนายสมศักดิ์ พาณิชย์วงษ์ เป็นผู้จัดการมรดกของนายจ่าง สำรวจหันต์หรือสำรวลหรรษ์ ผู้วายชนม์
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้านว่า นายสมศักดิ์พาณิชย์วงษ์ ที่ผู้ร้องขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้วายชนม์นั้น เป็นผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกรายพิพาท จึงไม่สมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก ขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทโดยตรงเป็นผู้จัดการมรดกของนายจ่าง สำรวลหันต์ผู้วายชนม์ แต่เพียงผู้เดียว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นายสมศักดิ์ พาณิชย์วงษ์ กับนางสว่างสุวรรณจิตปัญโญ ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายจ่างสำรวลหันต์หรือสำรวลหรรษ์ ผู้วายชนม์ ร่วมกัน
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกาว่า การตั้งนายสมศักดิ์ พาณิชย์วงษ์ ซึ่งไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับนางสว่างสุวรรณจิตปัญโญ ผู้คัดค้านที่ 1 นั้น ชอบด้วยกฎหมายและสมควรหรือไม่ปัญหาข้อนี้ ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกาว่า นายสมศักดิ์ไม่ใช่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก จึงไม่อาจตั้งนายสมศักดิ์เป็นผู้จัดการมรดกได้ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713 บัญญัติให้ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ ร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้เมื่อมีกรณีตามที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (3) โดยมิได้บัญญัติว่า ผู้จัดการมรดกจะต้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกแต่อย่างใดเพียงแต่บังคับว่า ผู้ที่จะร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดกจะต้องเป็นทายาทผู้มีสิทธิหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเท่านั้น ดังนั้นผู้ร้องจะขอให้ศาลตั้งบุคคลภายนอกเป็นผู้จัดการมรดกก็ย่อมทำได้ หากบุคคลผู้นั้นไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 ฉะนั้นการที่ศาลตั้งให้นายสมศักดิ์ พาณิชย์วงษื ซึ่งมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับนางสว่าง สุวรรณจิตปัญโญ จึงชอบด้วยกฎหมายและสมควรแล้วเพราะต่างฝ่ายจะได้ระวังผลประโยชน์ของตนในการจัดการมรดกรายนี้เนื่องจากนายสมศักดิ์ เป็นบุตรของผู้ร้องที่ 1
ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัยหาที่ว่า นายสมศักดิ์ พาณิชย์วงษ์ มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะผู้คัดค้านได้คัดค้านเรื่องนี้ไว้ในศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาได้ตรวจคำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสองแล้วปรากฏว่า ผู้คัดค้านระบุไว้แต่เพียงว่า นายสมศักดิ์ ไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดก จึงไม่ควรที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกเท่านั้น มิได้บรรยายว่านายสมศักดิ์มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกอย่างไร ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้จึงชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share