คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1860/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวร่วมกับจำเลยซื้อที่ดินและบ้าน แล้วเข้าครอบครองร่วมกัน ต่อมาโจทก์ให้จำเลยเช่าที่ส่วนของโจทก์แล้วจำเลยไม่ชำระเงิน โจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ออกไปในการซื้อทรัพย์พิพาทแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยชำระเงินหรือเอาที่ดินและบ้านออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์ ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง แต่คำขอที่ให้จำเลยชำระเงินหนึ่งแสนบาทนั้น ศาลบังคับให้ไม่ได้ เพราะเท่ากับบังคับให้จำเลยรับเอาที่ดินส่วนของโจทก์ไว้ อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดิน ส่วนคำขอที่ให้เอาที่ดินพิพาทขายทอดตลาดและให้ชำระค่าเสียหายนั้น ศาลอาจบังคับให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าตนมีสัญชาติอินเดีย ได้ร่วมกับจำเลยซื้อที่ดินและบ้านพิพาทไว้และได้ครอบครองร่วมกับจำเลยโดยเข้าหุ้นกันเปิดเป็นร้านขายอาหาร ต่อมาเลิกร้านและให้จำเลยเช่าที่ดินและเรือนพิพาทส่วนของโจทก์ จำเลยไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ได้ขอให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ได้ร่วมออกซื้อทรัพย์พิพาทจำนวนหนึ่งแสนบาทแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยชำระเงินหนึ่งแสนบาท ถ้าไม่ชำระขอให้เอาทรัพย์พิพาทขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินให้โจทก์ กับให้ชำระค่าเสียหายเท่าจำนวนค่าเช่า
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ออกเงินเพียง ๔๕,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ได้ขายส่วนของโจทก์ให้จำเลย และจำเลยได้ชำระเงินให้หมดแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๘๖ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท ฉะนั้นจึงไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษากลับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับกันว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นคนต่างด้าวร่วมกันซื้อทรัพย์พิพาทและได้เข้าครอบครองแล้ว กฎหมายมิได้ห้ามคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยเด็ดขาด และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙๔ ก็ให้อำนาจคนต่างด้าวจำหน่ายที่ดินได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยใช้เงินหนึ่งแสนบาทนั้น ศาลบังคับให้ไม่ได้ เพราะเท่ากับบังคับให้จำเลยรับเอาที่ดินส่วนของโจทก์ไว้ อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายที่ดินส่วนคำขอที่ขอให้เอาที่ดินขายทอดตลาดและให้ชำระค่าเสียหายนั้นเป็นคำขอที่อาจบังคับให้ได้
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share