คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ ต่อมาโจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินตามเช็ค การที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า “เช็คพ้นกำหนดการจ่ายเงิน” นั้นไม่ใช่เป็นการปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คตามที่ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 บัญญัติไว้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1ชั่วคราว
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้เถียงกันว่าจำเลยที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขามีนบุรี ลงวันที่ 22กันยายน 2528 จำนวนเงิน 950,321 บาท ตามเอกสารหมาย จ.1 มอบให้โจทก์ ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2529 โจทก์ให้นายไพสิฐ วาจาวุธนำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเงินฝากของนายไพสิฐที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาสมุทรปรากการ เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินในวันเดียวกันนั้น โดยให้เหตุผลว่า “เช็คพ้นกำหนดการจ่ายเงิน” ปรากฏตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.2มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดดังฟ้องหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “เช็คพ้นกำหนดการจ่ายเงิน” นั้นไม่ใช่เป็นการปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 บัญญัติไว้ การปฏิเสธการจ่ายเงินของธนาคารดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือออกเช็คโดยในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คหรือถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามนั้นได้ หรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริตดังฟ้องของโจทก์การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิดดังฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ตกลงกันว่าโจทก์จะยังไม่นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน จนกว่าจำเลยที่ 2จะได้เงินจากบุคคลภายนอกมาเข้าบัญชี แต่โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินโดยไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ได้เงินจากบุคคลภายนอกแล้วบิดพลิ้วไม่นำเงินเข้าบัญชีตามข้อตกลง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2มีเจตนาทุจริตในการออกเช็คพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share