คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1859/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ผู้เช่า จำเลยที่ 2 บริวารของ ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกิน เดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง และที่อ้างว่าตามสัญญาเช่า ข้อ 6บิดาโจทก์ได้ให้คำมั่นไว้ว่า หากบิดาโจทก์จะขายที่พิพาทจะต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ เพื่อให้โอกาสได้ซื้อก่อน นั้น ก็มิใช่การยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าที่จะก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้น จึงต้องห้ามมิให้ คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่ว่า ศาลชั้นต้นสมควรสืบพยาน โจทก์จำเลยเสียก่อนเพื่อที่จะได้วินิจฉัยแปลความสัญญาเช่า ข้อ 6 ว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองหรือไม่นั้นเป็นการโต้เถียง ดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจมีคำสั่ง งดสืบพยานของคู่ความในข้อนี้อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนอุทธรณ์ ที่ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่พิพาท และตัวบ้านพิพาทของจำเลยทั้งสอง ในส่วนด้านหน้าหรือทั้งหมดปลูกอยู่ในรัศมีของถนน ไม่ได้เช่า จากใครนั้น ก็เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริง ของศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากนายโอ้วยอดโอวาท บิดาโจทก์ มีกำหนดเวลา 3 ปี เพื่อปลูกบ้าน มีเนื้อที่ประมาณ 11.37 ตารางวา ค่าเช่าเดือนละ 120 บาท จำเลยที่ 2ได้อาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวในฐานะบริวาร ต่อมาเมื่อวันที่ 31ตุลาคม 2528 นายโอ้วถึงแก่กรรม โจทก์ได้เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งของศาลชั้นต้น และได้รับมรดกที่ดินพิพาท และโจทก์ได้จัดการเก็บค่าเช่าจากจำเลยตลอดมาซึ่งจำเลยได้ชำระให้จนกระทั่งสัญญาเช่าสิ้นสุด เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท จำเลยทราบแล้วเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยทำสัญญาเช่ากับนายโอ้ว ยอดโอวาท มิใช่โจทก์สัญญาข้อ 6 ระบุว่าเมื่อจะขายที่ดินที่จำเลยเช่าจะต้องแจ้งให้จำเลยทราบว่าขายให้ผู้ใดและในราคาเท่าใดเพื่อจำเลยจะได้ซื้อก่อนอันเป็นคำมั่นที่จำเลยสนองรับแต่โจทก์ก็หาได้ปฏิบัติตามคำมั่นไม่อันเป็นการฝ่าฝืนข้อสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนบ้านเลขที่ 206ตามหมายเส้นสีเหลืองตามแผนที่พิพาท และให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท นับแต่วันที่ 1มีนาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะตามฎีกาของจำเลยทั้งสอง ข้อ 2 และข้อ 3 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับมาว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ผู้เช่า จำเลยที่ 2 บริวารของผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองและที่อ้างว่า ตามสัญญาเช่า ข้อ 6 บิดาโจทก์ได้ให้คำมั่นไว้ว่าหากบิดาโจทก์จะขายที่พิพาทจะต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบ เพื่อให้โอกาสได้ซื้อก่อน นั้น ก็มิใช่การยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมาย แห่งข้อความในสัญญาเช่าที่จะก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์สรุปเป็นใจความได้ว่า ศาลชั้นต้นสมควรสืบพยานโจทก์จำเลยเสียก่อนเพื่อที่จะได้วินิจฉัยแปลความสัญญาเช่า ข้อ 6 ว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองหรือไม่นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจมีคำสั่งงดสืบพยานของคู่ความในข้อนี้อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่พิพาท และตัวบ้านพิพาทของจำเลยทั้งสองในส่วนด้านหน้าหรือทั้งหมดปลูกอยู่ในรัศมีของถนนไม่ได้เช่าจากใครนั้น ก็เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share