คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1858/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสุขุมวิทได้ปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าหลายคนโดยไม่มีหลักทรัพย์เป็น ประกัน อันเป็นการเกินอำนาจที่โจทก์ร่วมได้ให้ไว้ฝ่ายตรวจสอบฯ ของโจทก์ร่วมทราบและได้แจ้งให้จำเลยจัดการแก้ไข จำเลยได้โอนหนี้ของลูกค้าดังกล่าวไปเป็นหนี้ ของ บริษัท บ. รายเดียว เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร่วมมีทางจะได้รับชำระหนี้ จากบริษัท บ. และจากหลักทรัพย์ต่างๆที่ บริษัท บ. เสนอเป็นประกันหนี้ โดยสิ้นเชิงและการที่จำเลย ปล่อยสินเชื่อดังกล่าว จำเลยไม่ได้รับประโยชน์ แต่อย่างใดดังนี้ การกระทำของจำเลยหาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของโจทก์ร่วมแต่อย่างใดไม่ และฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 353ใหเ้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 13,813,836 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสุขุมวิท 43 โจทก์ร่วมได้ให้อำนาจแก่จำเลยในการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อประเภทรับซื้อลดตั๋วเงินแก่บรรดาลูกค้าของธนาคารได้ รายละไม่เกิน500,000 บาท โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันและรายละไม่เกิน 300,000 บาท โดยมีบุคคลค้ำประกัน จำเลยได้ปล่อยสินเชื่อประเภทรับซื้อลดตั๋วเงินแก่บริษัท บ. และบุคคลอื่นอีกหลายคนรวมเป็นเงิน 13,813,836 บาท โดยไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกัน ต่อมาฝ่ายตรวจสอบฯ ได้มาทำการตรวจสอบพบ จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยแก้ไขให้ถูกต้องจำเลยได้จัดการโอนหนี้ดังกล่าวมาเป็นหนี้ของบริษัท บ. แต่รายเดียวโดยมี ธ.ทำสัญญาค้ำประกัน นอกจากนั้นบริษัท บ. ยังได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และได้เสนอหลักทรัพย์เป็นประกันด้วย ต่อมาบริษัท บ. ได้ผ่อนชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยไปบ้างแล้วประมาณ 3 ล้านบาท ฯลฯ เมื่อคำนึงถึงหลักประกันของบริษัท บ. และของ ธ. ประกอบกับสัญญาซื้อลดตั๋วเงินยังไม่ขาดอายุความฟ้องร้องและบริษัท บ. ก็ยังดำเนินกิจการอยู่ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ร่วมมีทางที่จะได้รับชำระหนี้ที่ยังค้างชำระอยู่โดยสิ้นเชิงแม้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดหน้าที่ของตนก็ตามแต่ก็หาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของโจทก์ร่วมแต่อย่างใดไม่ (และพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353
พิพากษายืน

Share