คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1858/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญายอมความซึ่งข้อความตอนต้นกล่าวว่าให้แบ่งมรดกตามพินัยกรรม แต่ในตอนหลังของข้อเดียวกันนั้นระบุรายการทรัพย์ไว้ชัดแจ้งว่าให้แบ่งทรัพย์อย่างใด ให้ใคร และแบ่งกันอย่างไรซึ่งไม่ตรงกับพินัยกรรม ดังนี้ถือว่าคู่ความมีเจตนาอันแท้จริงที่จะแบ่งทรัพย์มรดกตามรายการที่ระบุในตอนหลัง
คดีที่ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากมีข้อขัดข้องสงสัย ให้คู่ความร้องขอให้ศาลสั่งได้ เพราะเป็นเรื่องพิพาทกันด้วยเรื่องบังคับคดี มิใช่เรื่องที่อ้างว่าคำพิพากษาไม่เป็นไปตามยอม เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอย่างไรแล้ว ต่อไปคู่ความก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ตามวิธีพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า พินัยกรรมของ พ.เป็นโมฆะ และขอแบ่งมรดกจำเลยยกพินัยกรรมขึ้นต่อสู้ ต่อมาคู่ความปราณีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาเด็ดขาดไปตามยอมแล้ว ตามสัญญายอมข้อ 3 ตอนต้นมีว่าทรัพย์มรดกตามฟ้องตกลงแบ่งกันตามพินัยกรรม แต่ตอนท้ายศาลบันทึกไว้ว่าทรัพย์อย่างใด ให้ใคร และทรัพย์อย่างใดให้แบ่งกันอย่างไรไม่ตรงกับพินัยกรรม ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า ข้อความที่ศาลบันทึกขัดกับพินัยกรรม ให้เรียกโจทก์มาพูดกัน โจทก์ว่าถูกต้องตามที่ตกลงกันแล้ว

ศาลชั้นต้น สั่งให้แบ่งตามพินัยกรรม

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่จำเลยมาร้องโดยมิได้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 และศาลชั้นต้นสั่งใหม่นั้น ไม่ชอบ พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น บังคับคดีไปตามยอม

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คู่ความพิพาทกันด้วยเรื่องบังคับคดี มิใช่เป็นเรื่องที่อ้างว่าคำพิพากษามิได้เป็นไปตามสัญญายอมความตามมาตรา138(3) เมื่อมีข้อความสงสัยก็เสนอให้ศาลสั่งได้ ฝ่ายที่ไม่พอใจก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งยกคำสั่งศาลชั้นต้นเสียจำเลยก็มีสิทธิฎีกาได้ ไม่ต้องห้าม

สัญญายอมความข้อ 3 ตอนหลังได้ระบุรายการทรัพย์ไว้ชัดแจ้งแสดงว่าคู่ความมีเจตนาอันแท้จริงที่จะให้การแบ่งทรัพย์นั้นเป็นไปตามรายการที่ระบุไว้ ยิ่งกว่าข้อความที่กล่าวคลุม ๆ ในตอนต้นคำสั่งศาลเดิมคลาดเคลื่อนไป

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำสั่งศาลชั้นต้นให้แบ่งทรัพย์มรดกตามสัญญายอมข้อ 3 ตอนหลัง

Share