แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นกรมในรัฐบาลและเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการสื่อสาร การไปรษณีย์โทรเลข วิทยุ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนมิได้มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้า โดยมีอธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสังกัดและรับผิดชอบในราชการของกรมตามอำนาจหน้าที่ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ ส่วนองค์การสงเคราะห์ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข หรือ อ.ส.ค. นั้นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขแต่งตั้งประธานกรรมการขึ้นเป็นผู้ดำเนินงานพร้อมด้วยคณะกรรมการและจัดตั้งร้านค้า อ.ส.ค. ขึ้นเพื่อจำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคช่วยเหลือข้าราชการในกรมไปรษณีย์โทรเลข โดยมิได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน และประธานกรรมการแต่งตั้งผู้จัดการร้านค้า อ.ส.ค.ร้านค้า อ.ส.ค.นี้จึงเป็นกิจการต่างหากมิได้อยู่ในวัตถุประสงค์และหน้าที่ของกรมไปรษณีย์โทรเลขแม้ผู้จัดการร้านค้า อ.ส.ค. จะซื้อสินค้าจากบุคคลอื่นมาในนามของ ร้านค้าและค้างชำระราคา กรมไปรษณีย์โทรเลขก็หาจำต้องร่วมรับผิดในหนี้สินนั้นด้วยไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1076/2515)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการร้านค้าองค์การสงเคราะห์ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข (อ.ส.ค.) อยู่ในสังกัดของจำเลยที่ 1และในฐานะผู้กระทำการแทนและในนามจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์หลายครั้ง ยังค้างชำระราคารวม 29,406 บาท โจทก์ทวงถามก็ไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระราคาสินค้าพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ร้านค้า อ.ส.ค. มิใช่หน่วยราชการสังกัดจำเลยที่ 1 และอยู่นอกวัตถุประสงค์ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินค่าตู้เย็นที่ค้าง 25,440 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน กับให้ชำระค่าสบู่ 3,966 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2512 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า องค์การสงเคราะห์ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข หรือร้านค้า อ.ส.ค. เป็นกิจการของกรมจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ร่วมใช้เงินค่าสินค้าแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาลและเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการสื่อสารการไปรษณีย์โทรเลข วิทยุ เพื่ออำนายความสะดวกแก่ประชาชนมิได้มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้า โดยมีอธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสังกัดและรับผิดชอบในราชการของกรมตามอำนาจหน้าที่ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ส่วน อ.ส.ค. หรือองค์การสงเคราะห์ข้าราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขนั้นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขแต่งตั้งประธานกรรมการขึ้นเป็นผู้ดำเนินงานพร้อมด้วยคณะกรรมการและจัดตั้งร้านค้า อ.ส.ค. ขึ้นเพื่อจำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคช่วยเหลือข้าราชการในกรมไปรษณีย์โทรเลข โดยมิได้ใช้เงินงบประมาณประธานกรรมการแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการร้านค้า อ.ส.ค. ร้านค้า อ.ส.ค. จึงเป็นกิจการต่างหาก มิได้อยู่ในวัตถุประสงค์และหน้าที่ของกรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดด้วยนั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นชัดว่าเหตุใดจำเลยที่ 1จะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินที่โจทก์ฟ้องเรียกร้อง ทั้ง ๆ ที่โจทก์ก็มิได้ติดต่อค้าขายกับจำเลยที่ 1 เลย ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าร้านค้า อ.ส.ค. เป็นกิจการของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะร้านค้า อ.ส.ค. มิใช่ราชการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 หาต้องรับผิดไม่ ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในหนี้สินนี้ด้วย ทั้งนี้ ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1076/2515 ระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัดวิไลดีนำ โดยนายวิจิตร บุศยานนท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์ พันตรีอิศศระ วีระเสนีย์ กับพวก จำเลย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น