คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1850/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นบริษัทจำกัดที่ชำระมูลค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว บริษัทที่ถือหุ้นของจำเลยจะประกอบกิจการขาดทุนก็ไม่มีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของจำเลย แม้ผลประกอบการของจำเลยจะมีกำไรสุทธิน้อยลง แต่ก็ยังมีกำไรอยู่ ไม่ปรากฏว่างานของจำเลยลดน้อยลงมากหรือประสบการขาดทุนจนถึงขนาดต้องลดรายจ่ายและลดจำนวนพนักงานเพื่อพยุงฐานะจำเลยให้อยู่รอด จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพื่อลดค่าใช้จ่ายจึงเป็นการเลิกจ้างที่ยังไม่มีเหตุอันสมควร เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑๑,๗๓๗,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยมีหนังสือรับรองการผ่านงานให้แก่โจทก์ โดยระบุว่าโจทก์เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ ๒๗๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๗๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยมีหนังสือรับรองการผ่านงานให้แก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการนำเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเที่ยว โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๐ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการอาวุโสแผนกปฏิบัติการ อัตราเงินเดือน ๕๕,๐๐๐ บาท กำหนดจ่ายอย่างช้าภายในวันทำงานสุดท้ายของเดือน วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ จำเลยได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นไป หนังสือเลิกจ้างนี้โจทก์ไม่ยอมลงลายมือชื่อเมื่อนาง จ. ผู้บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน ลูกจ้างจำเลยได้อ่านให้โจทก์ฟังแล้ว ต่อมาวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๕ จำเลยได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อีก ๑ ฉบับ โดยหนังสือฉบับนี้ได้ปลดโจทก์ออกทันที ตามหนังสือเลิกจ้าง ต่อมาจำเลยประกาศให้มีผลเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๕ ซึ่งถือได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๕ รวมระยะเวลาที่โจทก์ทำงานกับจำเลยติดต่อกัน ๔ ปี ๑๑ เดือน ๑๗ วัน ในการเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวนั้น จำเลยได้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินโบนัส และค่าจ้างค้างจ่ายรวม ๔๕๑,๔๖๖.๖๖ บาท ให้แก่โจทก์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาหรือไม่ ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัทแอลทียู ทัวริสติค จีเอ็มบีเอส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของจำเลยประกอบกิจการขาดทุน และผลประกอบการของจำเลยก็มีกำไรสุทธิลดลงด้วย แต่ยังคงมีกำไร จำเลยจึงได้เลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการอาวุโสแผนกปฏิบัติการ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดจำนวนพนักงานลง เห็นว่า จำเลยเป็นบริษัทจำกัดที่ชำระมูลค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว บริษัทที่ถือหุ้นของจำเลยจะประกอบกิจการขาดทุนก็ไม่มีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของจำเลย แม้ผลประกอบการของจำเลยจะมีกำไรสุทธิน้อยลง แต่ก็ยังคงมีกำไรอยู่ และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่างานของจำเลยได้ลดน้อยลงมากหรือประสบกับการขาดทุนจนถึงขนาดต้องลดรายจ่ายและลดจำนวนพนักงานเพื่อพยุงฐานะของจำเลยให้อยู่รอด การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพื่อลดค่าใช้จ่ายนั้นจึงเป็นการเลิกจ้างที่ยังไม่มีเหตุอันสมควร ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share