คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1850/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่าสถานที่เช่าพิพาทเป็นทางเท้าตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณาไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้อง ทั้งไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อคำร้องของผู้ร้องมิได้อ้างว่าสถานที่เช่าเป็นทางเท้าตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำร้องและเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่า คือที่ว่างหน้าร้านสหกรณ์กรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ (บางลำภู)ทางด้านถนนตานีของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและออกหมายบังคับคดีให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกจากที่เช่า
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิได้เป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้องเช่าที่ว่างหน้าร้านค้าของโจทก์ ยาว 2.60 เมตร เพื่อขายของจากโจทก์โดยตรง โดยรับโอนสิทธิการเช่าที่ครึ่งหนึ่งจากนายสำเภาธนะวิบูลย์ เมื่อปี 2523 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งรับโอนมา จาก นางรัตนาลือประชาการ เมื่อปี 2524 นอกจากนี้สหกรณ์กรุงเทพ จำกัดเจ้าของผู้ให้โจทก์เช่าอาคารและที่ว่างหน้าร้านค้าของโจทก์ก็ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้ผู้ร้องออกจากที่พิพาท ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดี
โจทก์คัดค้านว่า โจทก์ได้สิทธิการเช่าอาคารและที่ว่างหน้าร้านค้าของโจทก์จากสหกรณ์กรุงเทพ จำกัด มีกำหนด 25 ปีนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2521 ผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยและไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย โจทก์มีสิทธิบังคับจำเลยและบริวารได้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยต้องขนย้ายออกไป
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริง เชื่อว่านายสำเภากับนางรัตนาเช่าช่วงที่ว่างหน้าร้านค้าของโจทก์จากจำเลย ผู้ร้องรับโอนสิทธิการเช่ามาจากนายสำเภากับนางรัตนา จึงเป็นผู้เช่าช่วงมีฐานะเป็นบริวารของจำเลยเช่นเดียวกับนายสำเภาและนางรัตนา ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาข้อที่สองว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับสหกรณ์กรุงเทพ จำกัด ได้ระงับสิ้นลงแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิต่าง ๆในสถานที่เช่าพิพาทแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีแก่ผู้ร้องนั้นเห็นว่า แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับสหกรณ์กรุงเทพ จำกัด จะสิ้นอายุแล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อผู้ร้องเป็นบริวารจำเลยผู้เช่าช่วงจากโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับคดีแก่ผู้ร้องได้ เพราะโจทก์มีหน้าที่ต้องส่งมอบสถานที่เช่าพิพาทคืนให้สหกรณ์กรุงเทพ จำกัดผู้ให้เช่าเมื่อสัญญาเช่าได้ระงับลง ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาข้อสุดท้ายว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์ฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ซึ่งบัญญัติห้ามขายหรือวางของบนทางเท้านั้น เห็นว่า ปัญหาว่าสถานที่เช่าพิพาทเป็นทางเท้าตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณาไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้อง อีกทั้งไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อคำร้องของผู้ร้องมิได้อ้างว่าสถานที่เช่าเป็นทางเท้าตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำร้องและเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิยกปัญหาชั้นฎีกาได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share