แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายกำลังขับรถด้วยความเร็วสูงประมาณ80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้เสียหายจึงต้องเพ่งมองไปทางข้างหน้าตลอดเวลา โอกาสจะสังเกตจดจำคนร้ายที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ข้างทางจึงมีเพียงน้อยนิด เมื่อคนร้ายยิงมาที่รถบรรทุกน้ำมันที่ผู้เสียหายขับ ผู้เสียหายก็น่าจะตกใจกลัว ต้องเร่ง ความเร็วสูงขึ้นอีกเพื่อหลบหนีให้พ้น โอกาสที่จะสังเกตจดจำใบหน้าคนร้ายแทบจะไม่มีเลยตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้เสียหายไม่น่าจะจำได้ว่าคนร้ายที่ยิงรถบรรทุกน้ำมันคือจำเลยที่ 2 พยานโจทก์นอกจากนี้คงมีเพียงคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนและภาพถ่ายการนำชี้ ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพในสำนวนอีกคดีหนึ่งซึ่งโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 2 ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ยังโต้แย้งอยู่ว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นคนร้าย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 2 คน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนพยายามฆ่านายอุเซ็ง แดมะยุง ผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 80, 83 ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง กับขอให้นับโทษจำเลยทั้งสามต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1038/2531 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 ประกอบมาตรา 80, 52 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 33 ปี 4 เดือน ปลอกกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดให้ริบเสีย สำหรับคำขอของโจทก์ที่ให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1038/2530(ที่ถูหมายเลขดำที่ 1038/2531 ของศาลชั้นต้น) นั้น ศาลได้พิพากษายกฟ้อง ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1386/2532 จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เสีย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่ พยานโจทก์มีนายอุเซ็ง ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานปากเดียวเบิกความว่าวันเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถบรรทุกน้ำมันด้วยความเร็ว 80-90กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากจังหวัดนธาธิวาสแล่นไปตามถนนเพชรเกษมจะไปรับน้ำมันที่จังหวัดสงขลา ขณะรถแล่นมาใหล้ที่เกิดเหตุห่างประมาณ 50 เมตร ได้เห็นชายคนหนึ่งถืออาวุธปืนเอ็ม 16 ยืนอยู่เชิงสะพานข้างถนน เมื่อรถแล่นเข้าไปใกล้ชายคนนั้นได้ยิงปืนมาที่รถของผู้เสียหายถูกกระจกหน้ารถแตกและถูกตัวถังรถด้านข้างและด้านหลัง ผู้เสียหายเร่งเครื่องรถแล่นไปแจ้งความที่ป้อมยามใกล้ที่เกิดเหตุ ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ยิงตนข้อวินิจฉัยจึงมีว่าผู้เสียหายจำคนร้ายว่าเป็นจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่ผู้เสียหายเบิกความว่าได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจที่สถานนีตำรวจว่า จำคนร้ายได้โดยร้อยตำรวจโทอาทิตย์เกิดก่อ พนักงานสอบสวนเบิกความรับรอง แต่ผู้เสียหายได้เบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่1386/2532 ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 คดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยอื่นอีก 1 คนรวมเป็น4 คน ในข้อหากรรโชกทรัพย์ของนายศุภกิจว่า ที่สถานีตำรวจได้บอกว่าไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง เพราะไม่ได้สังเกตเนื่องจากตกใจมาก พยานหลักฐานโจทก์ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่1386/2532 ของศาลชั้นต้น ประกอบคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเอกสารอันดับที่ 101 ในสำนวนนี้ได้ความว่า หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้เอารูปของจำเลยที่ 1 ให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายดูแล้วว่าเป็นคนร้าย แต่เมื่อจับจำเลยที่ 1 ได้ ผู้เสียหายว่าคล้ายคนร้ายและไม่แน่ใจว่าเป็นคนร้าย จำเลยที่ 1 ได้ให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.18 ในคดีดังกล่าว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 กับพวกได้มาพักที่บ้านจำเลยที่ 1 และวางแผนไปยิงรถบรรทุกน้ำมันของนายศุภกิจเพื่อข่มขู่ให้เกิดความกลัว เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้ตามคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายได้ชี้ตัวและเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ยิงรถบรรทุกน้ำมันเพราะเคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ผู้เสียหายได้เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านในคดีดังกล่าวว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้บอกชื่อคนร้ายที่ถูกจับกุมให้ทราบก่อนถึงสถานีตำรวจและนำไปดูตัวคนร้ายแล้วจึงจัดให้ชี้ตัว ผู้เสียหายได้ทราบจากเจ้าพนักงานตำรวจว่า คนร้ายยิ่งรถบรรทุกน้ำมันคือจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่เชื่อว่าผู้เสียหายจะจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด โจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้วที่ผู้เสียหายเบิกความยืนยันในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นครนร้ายที่ยิงรถบรรทุกน้ำมันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายกำลังขับรถด้วยความเร็วสูงถึง 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้เสียหายจึงต้องเพ่งมองไปทางข้างหน้าตลอดเวลา โอกาสที่จะสังเกตจดจำคนร้ายที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ข้างทางจึงมีเพียงน้อยนิด เมื่อคนร้ายยิงมาที่รถบรรทุกน้ำมันผู้เสียหายก็น่าจะตกใจกลัง ต้องเร่งความเร็วสูงขึ้นอีกเพื่อหลบหนีให้พ้น โอกาสที่จะสังเกตจดจำใบหน้าคนร้ายแทบจะไม่มีเลย ตามเหตุการ์ที่เกิดขึ้นผู้เสียหายไม่น่าจะจำได้ว่าคนร้ายที่ยิงรถบรรทุกน้ำมันคือจำเลยที่ 2 พยานโจทก์นอกจากวินิจฉัยมาแล้วไม่มีพยานปากใดรู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายอีกโจทก์คงมีคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนและภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.19 และ จ.9ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1386/2532 ของศาลชั้นต้น โดยไม่มีพยานอื่นประกอบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้าย จึงไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้และจำเลยที่ 2 ก็ยังโต้แย้งอยู่ว่าไม่ได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ยิงรถบรรทุกน้ำมันซึ่งผู้เสียหายขับ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.