คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 107 (4) ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน เมื่อผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทย วันที่ 11 มกราคม 2548 ซึ่งตามกฎหมายพรรคไทยช่วยไทยจะต้องแจ้งรายชื่อสมาชิกเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนภายในเดือนมกราคมของปีรุ่งขึ้น พรรคไทยช่วยไทยจึงมีหน้าที่แจ้งชื่อผู้ร้องเป็นสมาชิกเพิ่มเติมภายในวันที่ 31 มกราคม 2549 แต่พรรคไทยช่วยไทยไม่ได้แจ้งชื่อผู้ร้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ทำให้ผู้ร้องไม่มีชื่อในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองและทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง ดังนี้ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 34 วรรคสอง หัวหน้าพรรคการเมืองต้องแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา พร้อมด้วยรายชื่อ อาชีพ และที่อยู่สมาชิกดังกล่าวตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนดให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี การที่พรรคไทยช่วยไทยไม่แจ้งรายชื่อผู้ร้องเป็นสมาชิกเพิ่มเติมตามที่กฎหมายกำหนด ทั้ง ๆ ที่พรรคไทยช่วยไทยก็มีการแจ้งจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาต่อนายทะเบียน จึงเป็นข้อพิรุธเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในการเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทยของผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะอ้างว่า มีการแจ้งชื่อผู้ร้องให้นายทะเบียนทราบเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 ก็ไม่ปรากฏเหตุผลว่า เหตุใดพรรคไทยช่วยไทยจึงต้องแจ้งชื่อผู้ร้องในภายหลังเช่นนั้น นอกจากนี้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับสมัครสมาชิกพรรคจำนวน 66 คน ดังกล่าว ก็พบพิรุธในเอกสารรายงานการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคไทยช่วยไทยครั้งที่ 4/2548 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2548 เพราะตามรายงานการประชุม เอกสารหมาย ค.2 ซึ่งเป็นเอกสารที่เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจพบ ณ ที่ทำการพรรคไทยช่วยไทยนั้น ในระเบียบวาระที่ 5 เป็นเรื่องการรับสมาชิกพรรค ณ วันที่ 11 มกราคม 2548 ซึ่งรวมถึงหมายเลข กศ 000053 อันเป็นหมายเลขสมาชิกของผู้ร้องด้วย แต่รายงานการประชุม เอกสารหมาย ค.1 ซึ่งเป็นเอกสารรายงานการประชุมครั้งเดียวกัน และพรรคไทยช่วยไทยได้จัดส่งให้นายทะเบียนนั้น ระเบียบวาระที่ 5 ระบุว่า เรื่องอื่น ๆ (ไม่มี) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับผู้ร้องเข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทยจึงเป็นพิรุธไม่อาจรับฟังได้ว่า พรรคไทยช่วยไทยได้รับผู้ร้องเป็นสมาชิกตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2548 ดังนั้น ลำพังข้อมูลที่ว่า ผู้ร้องมีชื่อปรากฏในฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองจึงไม่พอรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทย ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2548 จริง เมื่อข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทย ผู้ร้องจึงไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 109 (4)
(คำสั่งศาลฎีกา)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สังกัดพรรคไทยช่วยไทย แต่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แจ้งว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 107 (4) กรณีไม่พบชื่อผู้ร้องในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองและทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองได้แจ้งต่อนายทะเบียน ทั้งนี้ผู้ร้องได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทยตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2548 เลขประจำตัวสมาชิก กศ 000053 จึงขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านและคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบหลักฐานแล้วเห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติการเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 107 (4) เนื่องจากไม่พบข้อมูลผู้ร้องในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองได้แจ้งต่อนายทะเบียนและทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งเป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 ข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองจากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2 ไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้ เพราะไม่ใช่ต้นฉบับ ขาดความสมบูรณ์และอาจไม่ถูกต้องตรงกับความจริง คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏการรับสมาชิกพรรคจำนวน 66 คน ตามที่พรรคไทยช่วยไทยอ้าง รายงานการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคไทยช่วยไทย ครั้งที่ 4/2548 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2548 มีความผิดปกติ เป็นพิรุธในวาระการประชุมที่ 5 ขอให้ยกคำร้อง
วันนัดพิจารณา ศาลฎีกาสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว จึงให้งดสืบพยาน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 107 (4) ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียว นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน เมื่อผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทยวันที่ 11 มกราคม 2548 ซึ่งตามกฎหมายพรรคไทยช่วยไทยจะต้องแจ้งรายชื่อสมาชิกเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนภายในเดือนมกราคมของปีรุ่งขึ้น พรรคไทยช่วยไทยจึงมีหน้าที่แจ้งชื่อผู้ร้องเป็นสมาชิกเพิ่มเติมภายในวันที่ 31 มกราคม 2549 แต่พรรคไทยช่วยไทยไม่ได้แจ้งชื่อผู้ร้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ทำให้ผู้ร้องไม่มีชื่อในระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมืองและทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง ดังนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 34 วรรคสอง หัวหน้าพรรคการเมืองต้องแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา พร้อมด้วยรายชื่อ อาชีพ และที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าวตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนดให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี การที่พรรคไทยช่วยไทยไม่แจ้งรายชื่อผู้ร้องเป็นสมาชิกเพิ่มเติมตามที่กฎหมายกำหนด ทั้ง ๆ ที่พรรคไทยช่วยไทยก็มีการแจ้งจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นหรือลดลงในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาต่อนายทะเบียน ปรากฏตามหนังสือแจ้งจำนวนสมาชิก เอกสารหมาย ร.1 จึงเป็นข้อพิรุธเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในการเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทยของผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะอ้างว่ามีการแจ้งชื่อผู้ร้องให้นายทะเบียนทราบเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 ก็ไม่ปรากฏเหตุผลว่า เหตุใดพรรคไทยช่วยไทยจึงต้องแจ้งชื่อผู้ร้องในภายหลังเช่นนั้น นอกจากนี้ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงชื่อผู้ร้องในภายหลังเช่นนั้น นอกจากนี้ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับสมัครสมาชิกพรรคจำนวน 66 คน ดังกล่าว ก็พบพิรุธในเอกสารรายงานการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคไทยช่วยไทย ครั้งที่ 4/2548 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2548 เพราะตามรายงานการประชุม เอกสารหมาย ค.2 ซึ่งเป็นเอกสารที่เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจพบ ณ ที่ทำการพรรคไทยช่วยไทยนั้น ในระเบียบวาระที่ 5 เป็นเรื่องการรับสมาชิกพรรค ณ วันที่ 11 มกราคม 2548 ซึ่งรวมถึงหมายเลข กศ 000053 อันเป็นหมายเลขสมาชิกของผู้ร้องด้วย แต่รายงานการประชุม เอกสารหมาย ค.1 ซึ่งเป็นเอกสารรายงานการประชุมครั้งเดียวกันและพรรคไทยช่วยไทยได้จัดส่งให้นายทะเบียนนั้น ระเบียบวาระที่ 5 ระบุว่า เรื่องอื่น ๆ (ไม่มี) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับผู้ร้องเข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทยจึงเป็นพิรุธ ไม่อาจรับฟังได้ว่า พรรคไทยช่วยไทยได้รับผู้ร้องเป็นสมาชิกตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2548 ดังนั้น ลำพังข้อมูลที่ว่า ผู้ร้องมีชื่อปรากฏในฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง เอกสารหมาย ร.5 ถึง ร.7 จึงไม่พอรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทย ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2548 จริง เมื่อข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทย ผู้ร้องจึงไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 107 (4) คำสั่งของผู้คัดค้านชอบแล้ว”
จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

Share