คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การขายหรือมีไว้เพื่อขายตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 นั้นเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การที่จำเลยมีแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ไว้เพื่อขาย 5 เม็ด และได้ขายไปแล้ว 2 เม็ด จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวฐานขายแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2531 เวลากลางวันจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งเป็นเกลือของแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2500(ที่ถูก พ.ศ. 2520) เรื่อง ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518จำนวน 7 เม็ด หนัก 0.63 กรัม (หกสิบสามเซ็นติกรัม) ไว้ในความครอบครองของจำเลยเพื่อจำหน่าย ทั้งนี้ โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายและจำเลยได้บังอาจจำหน่ายแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งเป็นเกลือของแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ดังกล่าว จำนวน 2 เม็ด หนัก 0.18 กรัม (สิบแปดเซ็นติกรัม) ให้กับผู้อื่น ทั้งนี้ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13, 89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526มาตรา 4 กับให้คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13, 89ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ฐานมีไว้เพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกมีกำหนด 5 ปี คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานขายวัตถุที่ออกฤทธิ์ชนิดแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา13, 89 เพียงกระทงเดียว จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยเป็น2 กระทงความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งเป็นเกลือของแอมเฟตามีน อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้เพื่อขาย จำนวน 5 เม็ด และได้ขายไปแล้วจำนวน 2 เม็ดเป็นเงิน 24 บาท เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมกับยึดได้แอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ที่ขายและมีไว้เพื่อขายจำนวน 7 เม็ด ในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันกับธนบัตรฉบับละ 20 บาท รวม 2 ฉบับที่ใช้ในการล่อซื้อไว้เป็นของกลาง ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าการที่จำเลยขายและมีไว้เพื่อขาย ซึ่งแอมเฟตามีนของกลางเป็นความผิดกรรมเดียวหรือสองกรรมต่างกัน พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ได้บัญญัติไว้ว่า”ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ฯลฯ” ผู้ใดฝ่าฝืนมาตราดังกล่าวนี้จะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 89 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ให้คำจำกัดความ คำว่า “ขาย” ไว้ว่าหมายความรวมถึง จำหน่ายจ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ดังนั้นตามนัยแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ การขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงถือได้ว่าเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าว จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียว คือ การขายนั่นเอง”
พิพากษายืน

Share