คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานบุคคลของโจทก์นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ดินแล้วล้วน เป็นญาติกับโจทก์ทั้งสิ้นส่วนพยานจำเลยปากฉ.ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องเป็นญาติกับจำเลย ทั้งทนายโจทก์มิได้ถามค้าน ว่าเป็นญาติกับจำเลย คำเบิกความของฉ.จึงมีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ปากต่าง ๆ ที่เป็นญาติโจทก์ โจทก์เป็นชายอายุ 34 ปี จำเลยเป็นหญิงอายุ 29 ปีการที่จำเลยปลูกต้นไม้รุกล้ำที่โจทก์โดยโจทก์มิได้ห้ามปรามเพราะไม่รู้กฎหมายนั้นเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย และเมื่อทำการรังวัดที่ดินของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าเนื้อที่ดินเพิ่มขึ้นจากที่ ระบุในโฉนดอีก 77 ตารางวาจึงเป็นข้อเท็จจริงที่แจ้งชัดว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยก่อสร้างต่อเติมบ้านรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางวาขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 45/1 หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านเชิดอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ในส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในเขตที่ดินของโจทก์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยก่อสร้างต่อเติมบ้านในที่ดินของจำเลยไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจาณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่า การวินิจฉัยคดีการชั่งน้ำหนักพยานในคดีมิได้อยู่ที่จำนวนเนื้อที่ของที่ดินของโจทก์หรือจำเลยว่าเกินมาหรือขาดหายไปกว่าเดิม ถ้าที่ดินของใครขาดไปแล้วก็วินิจฉัยว่าฝ่ายนั้นไม่ได้รุกล้ำที่ดินอีกฝ่ายหนึ่ง แล้ววินิจฉัยตัดสินให้ฝ่ายนั้นชนะคดีไปเลยไม่ชอบ โจทก์เห็นว่าน่าจะวินิจฉัยจากธรรมชาติของพยาน ลักษณะที่มาของพยานว่าพยานนั้นเป็นธรรมชาติหรือไม่และลักษณะที่มาของพยานนั้นมาอย่างธรรมชาติขาวสะอาดหรือสกปรกหรือไม่อย่างไรด้วยนั้น เห็นว่า ในคดีที่ฟ้องร้องว่ามีการบุกรุกที่ดินกันการปูโฉนดแล้วให้เจ้าหน้าที่ดินรังวัดตามการนำชี้ย่อมทำให้ทราบข้อเท็จจริงที่สำคัญโดยฝ่ายใดนำชี้แล้วผลการรังวัดปรากฏว่าที่ดินที่ตนนำชี้มีเนื้อที่มากกว่าเนื้อที่ตามที่ระบุไว้ในโฉนดของตน ตามปกติย่อมเป็นเครื่องแสดงว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายบุกรุก สำหรับพยานบุคคลนั้นพยานบุคคลของโจทก์นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ดินแล้วล้วนเป็นญาติกับโจทก์ทั้งสิ้นส่วนพยานจำเลยปากนางไฉน บุตตะ ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องเป็นญาติกับจำเลยทั้งทนายโจทก์ก็มิได้ถามค้านนางไฉนว่าเป็นญาติกับจำเลยหรือไม่ คำเบิกความของนางไฉนจึงมีเหตุผลน่าเชื่อถือกว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ปากต่าง ๆ ที่เป็นญาติกับโจทก์ฎีกาของโจทก์ประการนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาของโจทก์ประการต่อมามีว่า ในการที่จำเลยปลูกต้นกระถินและต้นข่อยรุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์ไม่รู้กฎหมายจึงไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไร และหากจะดูรูปที่ดินแล้วก็ไม่ควรดูรูปที่ดินของโจทก์ฝ่ายเดียว แล้วด่วนสรุปว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์ควรดูรูปที่ดินของจำเลยด้วยนั้น เห็นว่า ขณะฟ้องคดีนี้โจทก์เป็นชายอายุ 34 ปี ส่วนจำเลยเป็นหญิงอายุ 29 ปี หากจำเลยปลูกต้นไม้รุกล้ำที่ดินของโจทก์จริงแล้ว ก็เป็นเรื่องผิดปกติวิสัยที่โจทก์จะไม่ทำการห้ามปราม โจทก์การดูรูปที่ดินเพื่อวินิจฉัยว่ามีการบุกรุกกันหรือไม่ ศาลย่อมพิจารณาดูรูปที่ดินของทั้งโจทก์และจำเลยมิใช่ดูแต่ของโจทก์ฝ่ายเดียวคดีนี้ปรากฏตามคำเบิกความของนายพรเทพ เรืองรัชนีกร พยานโจทก์ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดินผู้รังวัดทำแผนที่พิพาทและจัดว่าเป็นพยานคนกลางว่า ที่ดินพิพาทเป็นโฉนดที่ดินเก่าซึ่งออกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งจะไม่มีหลักหมุดแสดงแนวเขตของเจ้าพนักงานที่ดิน คงอาศัยแต่แนวต้นไม้คันนา เสาไม้แก่นเป็นแนวเขตแทนนอกจากนี้จะเห็นได้ว่ารูปที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ตามแผนที่พิพาทเบนเฉียงต่ำลงกว่ารูปที่ดินตามโฉนดแล้ววกขึ้นรวมเอาแนวต้นข่อยซึ่งโจทก์จำเลยนำสืบว่าเป็นแนวเขตที่ดินเข้าไว้ด้วย นายพรเทพจึงเบิกความว่ารูปที่ดินที่โจทก์นำชี้จะแตกต่างไปจากรูปที่ดินที่ปรากฏในโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และเมื่อทำการรังวัดที่ดินของโจทก์แล้วจะได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นจากที่ระบุในโฉนดอีก 77 ตารางวา เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อเท็จจริงจึงเป็นที่ชัดแจ้งว่าจำเลยมิได้ต่อเติมปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share