คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1842/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินซึ่งน้ำทะเลท่วมถึงเป็นที่ชายตลิ่ง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์ไม่อาจได้ สิทธิครอบครอง จำเลยจึงมิได้อาศัยสิทธิครอบครองของโจทก์ทำประโยชน์ในที่พิพาท จำเลยครอบครอง โจทก์ขับไล่ไม่ได้เมื่อโจทก์มิได้เสียหายพิเศษ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องที่โจทก์ขอให้รื้อโรงเรือนจากที่พิพาท โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ได้ความจากข้อนำสืบของโจทก์เองว่าที่พิพาทเป็นที่ที่น้ำทะเลขึ้นถึง โดยนายสุกิจ ฉัตรสุกิจ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านประจำท้องที่ซึ่งที่พิพาทตั้งอยู่เบิกความว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งน้ำทะเลขึ้นถึง และนายโชคชัย รวมสมภพ พยานโจทก์ซึ่งเป็นปลัดอำเภอคลองใหญ่ก็เบิกความว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะน้ำทะเลขึ้นถึงทางราชการไม่ยอมออกหนังสือสำคัญให้ ส่วนข้อนำสืบของจำเลยนั้น นอกจากจำเลยทั้งสองเบิกความยืนยันว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่น้ำทะเลท่วมถึงทางราชการจึงไม่ยอมออกหนังสือสำคัญให้แล้ว นางกี่ ประสาร พยานจำเลย ซึ่งเคยอยู่ในที่พิพาทมาก่อนเบิกความว่าเคยปลูกต้นจากไว้ในที่พิพาท ต่อมาต้นจากถูกคลื่นน้ำทะเลซัดพังทะลายหมด ปัจจุบันน้ำทะเลก็ยังท่วมถึงที่พิพาท และนายติ่ม ริมชลาพยานจำเลยซึ่งมีบ้านอยู่ห่างที่พิพาทประมาณ 10 วาก็เบิกความว่า ที่พิพาทน้ำทะเลท่วมถึง ข้อนำสืบของโจทก์และจำเลยจึงตรงกัน รับฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นที่น้ำทะเลท่วมถึง จึงต้องถือว่าที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่ง อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) จึงเป็นที่ที่โจทก์ไม่อาจได้สิทธิครอบครองโจทก์จะถือว่าการที่จำเลยเข้าไปทำประโยชน์ในที่พิพาทเป็นการครอบครองแทนโดยอาศัยสิทธิของโจทก์หาได้ไม่ ในกรณีระหว่างโจทก์จำเลยนี้ เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองอยู่ โจทก์ก็ขับไล่จำเลยไม่ได้ในเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์เสียหายเป็นพิเศษอย่างใด”

พิพากษายืน

Share