คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 184/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายและประจักษ์พยานมาเบิกความต่อศาล แต่เมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานแวดล้อมพฤติเหตุโดยตระหนักแล้ว พยานแวดล้อมเบิกความสอดคล้องต่อเนื่องกันสมด้วยเหตุผลประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์ย่อมรับฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุก 12 ปี คำให้การชั้นจับกุมของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปีริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง 1 นัดได้รับอันตรายสาหัส ปรากฏรายละเอียดบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารท้ายฟ้อง มีปัญหาว่าจำเลยเป็นคนร้ายตามฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์ไม่ได้ตัวประจักษ์พยานมานำสืบคงมีแต่นายวิรัตน์ สุเมรุไหว มาเบิกความถึงพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุว่า พยานเดินทางกลับจากไร่จะไปที่กระท่อมพักซึ่งอยู่ห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 10 วาระหว่างทางพบจำเลยพูดคุยกัน จำเลยบอกว่าจะไปตัดกล้วยแล้วเดินขึ้นหน้าไปที่บ้านผู้เสียหาย ส่วนพยานเดินตามหลังจำเลยไปที่กระท่อมของพยาน เมื่อถึงกระท่อมประมาณ 5 นาทีได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ที่บ้านผู้เสียหายพยานมองดูเห็นจำเลยถือปืนลูกซองสั้น ออกจากบ้านผู้เสียหายผ่านหน้ากระท่อมพยานไป พันตำรวจตรีคีรี เกียรติสาร พนักงานสอบสวนให้การยืนยันว่า นายเขียวป้องแก้ว ไปแจ้งว่าผู้เสียหายถูกจำเลยใช้ปืนลูกซองสั้นยิง1 นัด พยานไปที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ามีผู้นำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลจึงไปสอบผู้เสียหายที่โรงพยาบาล ผู้เสียหายร้องทุกข์ว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้เสียหายตามเอกสารหมาย ปจ.1 จากนั้นได้สอบสวนผู้เสียหายไว้ตามบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์เอกสารหมาย ปจ.5ตามเอกสารดังกล่าว ผู้เสียหายให้การว่าจำเลยไปสอบถามว่าใครไปตัดอ้อยของจำเลย ผู้เสียหายรับว่าเป็นคนไปตัดอ้อยของจำเลยมากิน3 ลำจะคิดราคาเท่าไหร่ จำเลยบอกว่าลำละ 500 บาท ผู้เสียหายก็ตอบว่าจะให้แต่จำเลยก็ยังแสดงความแค้นเคืองอยู่ จำเลยก็พูดว่าไม่เชื่อจะยิงปากผู้เสียหายแล้วชักปืนลูกซองสั้นมายิงผู้เสียหาย1 นัด เห็นว่าพนักงานสอบสวนบรรยายถึงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการโต้เถียงและความโกรธแค้นของจำเลย จึงน่าเชื่อว่าเป็นรายละเอียดที่ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนไปตามความจริงนอกจากนี้พันตำรวจตรีประกอบ ขุนทอง ผู้จับกุมจำเลยก็เบิกความยืนยันว่าเมื่อจับจำเลยได้แจ้งข้อหาพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยรับสารภาพ เห็นว่าพันตำรวจตรีคีรี พันตำรวจตรีประกอบ พยานโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยรู้จักผู้เสียหายและจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายและประจักษ์พยานมาเบิกความต่อศาล แต่เมื่อพิจารณาคำเบิกความของนายวิรัตน์ พันตำรวจตรีคีรี พันตำรวจตรีประกอบซึ่งเป็นพยานแวดล้อมพฤติเหตุโดยตระหนักแล้ว พยานเบิกความสอดคล้องต่อเนื่องกันสมด้วยเหตุผล กล่าวคือก่อนเกิดเหตุนายวิรัตน์เห็นจำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุเห็นจำเลยถือปืนวิ่งออกมาจากบ้านผู้เสียหายและผู้เสียหายถูกยิง พันตำรวจตรีคีรีรับคำร้องทุกข์หรือกล่าวโทษและสอบสวนผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายระบุว่าจำเลยเป็นคนร้าย ทั้งพิจารณารายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารท้ายฟ้อง ปรากฏว่ามีบาดแผลที่แขนซ้าย 2 รู และหลัง 7 รูหน้าท้องและด้านข้างซ้าย 6 รู น่าเชื่อว่าผู้เสียหายถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองจริง หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปประมาณ 3 ปีเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยได้ จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.2 คดีมีเหตุผลรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายยิงผู้เสียหายตามฟ้อง ที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share