คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดคงมีคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของบ.และจ.ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดด้วยซึ่งเป็นเพียงคำพยานบอกเล่าแต่โจทก์ก็มีพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสองเป็นความจริงและมีพยานยืนยันว่าจำเลยเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับการกระทำผิดคดีนี้ด้วยพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกันฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดกับบ.และจ..

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย นี้ กับ จำเลย ใน คดีอาญา หมายเลขดำ ที่771/2524 ของ ศาล จังหวัด นครราชสีมา และ พวก ที่ หลบหนี อีก 1 คนได้ ร่วมกัน ปล้น เอา ทรัพย์ รวม ราคา 1,530,000 บาท ของ นาย ธิติชาติหรือ ปิงโฮง แซ่เตียว หรือ ตรรศุลวัฒน์ และ เงิน จำนวน 2,500 บาท ของนาง สุรีย์ วัฒโนภาส ผู้เสียหาย ใน การ ปล้นทรัพย์ จำเลย กับพวก ได้ใช้ กำลัง ประทุษร้าย จน ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ถึง แก่ ความตาย โดยจำเลย กับพวก มี เจตนา ฆ่า ขอ ให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลง วันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 และ ริบ เชือก ของกลาง กับ ให้ จำเลย คืน สร้อยคอแหวนเพชร และ เงิน 2,500 บาท แก่ ทายาท ของ นาง สุรีย์ วัฒโนภาส และคืนเงิน 3,500 บาท แก่ ทายาท ของ นาย ธิติชาติ ตรรศุลวัฒน์
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา340 วรรคสอง จำคุก 15 ปี กระทง หนึ่ง และ ตาม มาตรา 289 (7) วางโทษประหาร ชีวิต อีก กระทง หนึ่ง ให้ ประหาร ชีวิต ให้ จำเลย ร่วมกันคืน สร้อยคอ หนัก 2 บาท 1 เส้น แหวนเพชร 1 วง และ เงิน จำนวน 2,500 บาทแก่ ทายาท ของ นาง สุรีย์ วัฒโนภาส และ เงิน 3,500 บาท แก่ ทายาท ของนาย ธิติชาติ หรือ ปิงโฮง แซ่เตียว หรือ ตรรศุลวัฒน์ ให้ ยก คำขอ โจทก์ที่ ให้ ริบ เชือก ของกลาง เพราะ ศาล ได้ สั่ง ริบ ใน คดีอาญาหมายเลขแดง ที่ 785/2526 แล้ว
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษา กลับ ให้ ยกฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า เห็นว่า กรณี ที่ คนร้าย ปล้นทรัพย์ และ ฆ่านาย ธิติชาติ และ นาง สุรีย์ เจ้าทรัพย์ ที่ เขาใหญ่ นี้ เจ้าพนักงานตำรวจ จับกุม นาย บุญเลิศ ไวยกัน และ นาง จันทร์เพ็ญ หรือ แอ๊ดอันลูกท้าว ได้ ก่อน คน ทั้ง สอง ให้การ รับสารภาพ ต่อ พนังกาน สอบสวนว่า เป็น ผู้ กระทำ ผิด โดย จำเลย ใน คดี นี้ ร่วมด้วย นาย บุญเลิศและ นาง จันทร์เพ็ญ ได้ ถูก ฟ้อง ศาล จังหวัด นครราชสีมา พิพากษา ว่าคน ทั้ง สอง ได้ กระทำ ผิด จริง ให้ จำคุก นาย บุญเลิศ ตลอด ชีวิต และจำคุก นาง จันทร์เพ็ญ 13 ปี 4 เดือน ปรากฏ ตาม คดี หมายเลข แดง ที่785/2526 ใน คดี ดังกล่าว นั้น แม้ ใน ชั้น พิจารณา นาย บุญเลิศ และนาง จันทร์เพ็ญ ไม่ ได้ ให้การ รับสารภาพ แต่ เมื่อ ศาลชั้นต้น พิพากษาลงโทษ แล้ว คน ทั้ง สอง หา ได้ อุทธรณ์ ต่อไป ไม่ จึง น่าเชื่อ ว่าคำให้การ รับสารภาพ ชั้น สอบสวน ของ คน ทั้ง สอง เป็น ความ จริงคำให้การ ดังกล่าว ที่ กล่าว ถึง จำเลย ใน คดี นี้ แม้ จะ เป็น คำ ของผู้ร่วม กระทำ ผิด ด้วยกัน ก็ มี เหตุ น่าเชื่อ ว่า เป็น ความจริงเพราะ มี รายละเอียด ว่า คน ทั้ง สอง ได้ ร่วมกับ จำเลย วางแผน กระทำผิด กัน อย่างไร ใคร ทำ อะไร บ้าง นอกจากนั้น ข้อเท็จจริง ยัง ฟัง ได้จาก คำ นาง วนิดา อันลูกท้าว พยาน โจทก์ ซึ่ง เป็น พี่ ของ นางจันทร์เพ็ญ อยู่กิน ฉัน สามี ภริยา กับ จำเลย ด้วย นาง จันทร์เพ็ญ คงไม่ ให้การ ปรักปรำ จำเลย โดย ไม่ เป็น ความจริง นาง จันทร์เพ็ญ นี้นาง นฤมล ภริยา นาย ธิติชาติ ผู้ ตาย ก็ เบิกความ ว่า รู้จัก กับ นายธิติชาติ มา ก่อน และ ได้ ความ จาก นาง วรรณา แซ่คู ลูกจ้าง ของ นายธิติชาติ อีก ว่า ใน วันที่ 7 มกราคม 2524 ก่อน เกิดเหตุ 1 วัน นางจันทร์เพ็ญ ได้ ไป หา นาย ธิติชาติ และ วัน รุ่งขึ้น นาง จันทร์เพ็ญก็ โทรศัพท์ ไป ถาม ว่า ได้ นัด ให้ นาย ธิติชาติ ไป พบ นาย ธิติชาติไป แล้ว หรือ ยัง ซึ่ง เป็น การ สอดคล้อง กับ คำให้การ ชั้น สอบสวน ของนาง จันทร์เพ็ญ ใน เรื่อง นี้ อีก ด้วย จึง น่าเชื่อ ว่า จำเลย ได้กระทำ ผิด ด้วย โดย จำเลย ให้ นาง จันทร์เพ็ญ ซึ่ง อยู่กิน กับ จำเลยฉัน ภริยา เป็น คน ไป ชักชวน นาย ธิติชาติ มา ดัง ที่ จำเลย ให้การ ไว้ชั้นสอบสวน ประกอบ กับ โจทก์ มี นาง นฤมล มา เบิกความ ว่า นาย ธิติชาติโทรศัพท์ ให้ เอา เงิน 100,000 บาท ไป ให้ และ มี นาย พิทยาสิงห์วิสุทธิ์ พนักงาน ของ โรงแรม ซุปเปอร์ เบิกความ ว่า จำเลย กับ พวกไป ที่ โรงแรม ดังกบ่าว ใน ตอนเช้า แล้ว จำเลย ขับ รถยนต์ ยี่ห้อ เบ็นซ์สี เขียว ตองอ่อน ออก ไป จาก โรงแรม มี คน นั่ง ไป ใน รถ ทั้งหมด 6 คนเป็น หญิง 2 คน ชาย 4 คน กับ โจทก์ มี นาย เนียน สว่างอารมย์ พนักงานโรงแรม เขาใหญ่ เบิกความ ว่า ใน คืน วันเดียวกัน นั้นเอง มี คน นั่งรถยนต์ ยี่ห้อ เบ็นซ์ สีอ่อน ไป เช่า ห้องพัก สำหรับ คน 6 คน ด้วยคำพยาน โจทก์ 3 ปาก นี้ จึง สอดคล้อง กับ คำให้การ ของ นาย บุญเลิศและ นาง จันทร์เพ็ญ ใน เรื่อง นี้ อีก โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง นาย พิทยาจำ ได้ ว่า จำเลย ได้ ขับ รถยนต์ โตโยต้า ไป กับ ชาย อีก 2 คน ไป เช่าห้อง อยู่ ข้างๆ ห้อง ที่ ชาย คน หนึ่ง กับ ผู้หญิง 2 คน มา เช่า อยู่ก่อน ชาย คน นี้ ขับ รถยนต์ ยี่ห้อ เบ็นซ์ สีเขียว ตองอ่อน ไป ที่โรงแรม ต่อมา จำเลย ได้ ขับ รถยนต์ ยี่ห้อ เบ็นซ์ คัน ดังกล่าว ออก ไปโดย มี ผู้หญิง 2 คน และ ชาย ทั้งหมด 4 คน ไป ด้วย ใน รถ คันเดียวกันซึ่ง ตาม คำให้การ ของ นาย บุญเลิศ และ นาง จันทร์เพ็ญ นั้น ชาย 2 คนที่ ไป กับ จำเลย ก็ คือ นาย บุญเลิศ และ นาย สุพจน์ ซึ่ง โจทก์ กล่าวใน ฟ้อง ว่า หลบหนี ไป นั่นเอง และ ชาย ที่ ขับ รถยนต์ ยี่ห้อ เบ็นซ์สีเขียว ตองอ่อน ก็ คือ นาย ธิติชาติ ส่วน ผู้หญิง ที่ ไป ด้วย 2 คนก็ คือ นาง สุรีย์ ซึ่ง เป็น เลขานุการ ของ นาย ธิติชาติ และ นางจันทร์เพ็ญ ศาลฎีกา เชื่อ ว่า นาย พิทยา จำ จำเลย ได้ เพราะ จำเลย ไปที่ โรงแรม ซุปเปอร์ ใน เวลา กลางวัน และ จำเลย ได้ พูดคุย กับ นายพิทยา หลาย ครั้ง หลาย หน ส่วน นาย เนียน พยาน โจทก์ ซึ่ง เป็น พนักงานที่ โรงแรม เขาใหญ่ นั้น แม้ จะ จำ ไม่ ได้ ว่า ชาย คน ที่ ไป ขอ เช่าที่พัก จะ เป็น จำเลย หรือ ไม่ เพียง แต่ ว่า ส่วน สูง ใกล้เคียง กันแต่ พยาน ก็ เคย ให้การ ไว้ ชั้น สอบสวน ว่า ชาย คน ที่ ไป ขอ เช่าที่พัก กับ จำเลย มี ลักษณะ คล้ายคลึง กัน ดัง ที่ ปรากฏ ใน ใบ ต่อ คำให้การ ของ พยาน ที่ พนักงาน สอบสวน ทำ ขึ้น เมื่อ วันที่ 12 กันยายน2525 ซึ่ง โจทก์ ส่ง ประกอบ คำเบิกความ ของ พยาน นอกจาก นั้น ยัง ปรากฏจาก แบบพิมพ์ ใบ ลงทะเบียน ผู้ มา พัก ที่ โรงแรม เขาใหญ่ ซึ่ง นายเนียน เบิกความ ว่า ชาย คน ที่ มา กับ รถยนต์ ยี่ห้อ เบ็นซ์ สีอ่อนเป็น ผู้เขียน และ พยาน ยัง ได้ จด หมายเลข ทะเบียน รถ สี และ ยี่ห้อรถ ไว้ ด้วน นั้น ว่า ผู้ มา พัก บังกาโล หมายเลข 113 ยานพาหนะ เลขอ.0013 สี เทา ยี่ห้อ เบ็นซ์ อีก ด้วย ศาลฎีกา เห็นว่า หมายเลข บังกาโล 113 ใน แบบพิมพ์ ใบ ลงทะเบียน ผู้ มา พัก นี้ ตรงกับ คำให้การ ชั้นสอบสวน ของ นาง จันทร์เพ็ญ ว่า จำเลย กับพวก พา ผู้ตาย ทั้ง สอง ไปพัก ที่ โรงแรม เขาใหญ่ บังกาโล หมายเลข 113 และ รถยนต์ ตาม แบบพิมพ์ใบ ลง ทะเบียน ผู้ มา พัก ก็ เป็น รถ ยี่ห้อ เบ็นซ์ เช่นเดียว กับรถยนต์ ที่ นาย ธิติชาติ ขับ ออก จาก บ้าน ใน วัน เกิดเหตุ และ ขับ ไปที่ โรงแรม ซุปเปอร์ และ จำเลย เป็น คน ขับ ออก จาก บ้าน ใน วันเกิดเหตุ และ ขับ ไป ที่ โรงแรม ซุปเปอร์ และ จำเลย เป็น คน ขับ ออก จากโรงแรม ซุปเปอร์ ใน เวลา ต่อมา แม้ สี ของ รถ และ หมายเลข ทะเบียน รถจะ ไม่ ตรงกัน ทีเดียว เพราะ รถยนต์ ของ นาย ธิติชาติ สี เขียว หยกและ หมายเลข ทะเบียน อ.14-0013 แต่ นาย เนียน จด ไว้ ว่า รถ สี เทาหมายเลข ทะเบียน อ.0013 ก็ เป็น ที่ เห็น ได้ ว่า ขณะ จด ลง ใน แบบพิมพ์ใบ ลง ทะเบียน ผู้พัก เป็น เวลา กลางคืน นาย เนียน อาจ เห็น สี รถ ไม่ถนัด และ นาย เนียน อาจ จด หมายเลข ทะเบียน รถยนต์ ไม่ ครบถ้วน รถยนต์ที่ นาย เนียน บันทึก เป็น รถยนต์ ยี่ห้อ เดียวกับ รถ ของ นาย ธิติชาติสี ใกล้เคียง กัน และ หมายเลข ทะเบียน ก็ ตรง กับ หมายเลข ส่วนท้าย ของทะเบียน รถ ของ นาย ธิติชาติ เช่นนี้ เมื่อ พิจารณา ประกอบ กัน กับพยาน หลักฐาน ของ โจทก์ ที่ ได้ วินิจฉัย มา ตาม ลำดับ แล้ว จะ เห็นได้ ว่า รถยนต์ ของ นาย ธิติชาติ ที่ ถูก คนร้าย ปล้น ไป กับ รถยนต์ ที่จำเลย ขับ ไป จาก โรงแรม ซุปเปอร์ เป็น รถ คัน เดียวกัน นั่นเอง ศาลฎีกาเห็น ว่า คดี นี้ แม้ โจทก์ จะ ไม่ มี ประจักษ์พยาน ยืนยัน ว่า จำเลยเป็น ผู้ กระทำ ผิด และ คำให้การ รับสารภาพ ชั้น สอบสวน ของ นาย บุญเลิศและ นาง จันทร์เพ็ญ ที่ กล่าวอ้าง ว่า จำเลย ได้ ร่วม กระทำ ผิด ด้วยเป็น คำบอกเล่า มี น้ำหนัก น้อย แต่ โจทก์ ก็ มี พยานหลักฐาน อื่นประกอบ ให้ เห็น ว่า คำให้การ ชั้น สอบสวน ของ คน ทั้ง สอง เป็นความจริง และ มี พยาน ยืนยัน ว่า จำเลย เกี่ยวข้อง ใกล้ชิด กับ การกระทำ ผิด คดี นี้ ด้วย พยานหลักฐาน ของ โจทก์ ประกอบ กัน ฟัง ได้ โดยปราศจาก ข้อสงสัย ว่า จำเลย ได้ ร่วม กระทำ ผิด กับ นาย บุญเลิศ และนาง จันทร์เพ็ญ จริง พยาน หลักฐาน ของ จำเลย ใน เรื่อง ฐาน ที่ อยู่หา มี น้ำหนัก หักล้าง พยานหลักฐาน ของ โจทก์ ไม่ แม้ นาย พิทยาเบิกความ ใน คดี ที่ นาย บุญเลิศ และ นาง จันทร์เพ็ญ ถูก ฟ้อง เป็นจำเลย ว่า เมื่อ ตำรวจ จับกุม คนร้าย ได้ พยาน ไม่ ได้ ชี้ตัว แต่ ได้เซ็นชื่อ ใน บันทึก ชี้ตัว ไป โดย ไม่ ได้ อ่าน ข้อความ และ ก่อน ตำรวจจะ สอบสวน เพิ่มเติม ได้ ถาม พยาน ว่า จำ ได้ ไหม พยาน ว่า จำ ได้ตำรวจ ก็ ให้ เซ็นชื่อ โดย ไม่ ได้ อ่าน ข้อความ ให้ ฟัง อีก แต่ เมื่อนาย พิทยา เบิกความ ใน คดี นี้ กลับ เบิกความ ว่า ตอน ไป สถานี ตำรวจครั้งแรก ไม่ ได้ ดู ตัว คนร้าย ตอน ไป ดู ตัว คนร้าย ผู้ ต้อง ขังยืน ให้ ดู 7 – 8 คน จำเลย อ้วน ขึ้นกว่า เห็น ครั้ง แรก ก็ หา ถึง กับทำ ให้ คำ ของ นาย พิทยา ที่ ว่า พยาน จำ จำเลย ได้ เสีย ไป แต่ อย่างใดไม่ เพราะ นาย พิทยา จำ จำเลย ได้ เพราะ เห็น จำเลย ใน ตอน กลางวันและ ได้ พูดคุย กัน หลาย ครั้ง ทั้ง พยาน เบิกความ ใน คดีแรก เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2525 เบิกความ ใน คดี หลัง เมื่อ วันที่ 28 มิถุนายน2526 เป็น เวลา ห่างกัน เกือบ ปี พยาน อาจ หลงลืม เบิกความ แตกต่างกัน บ้าง ซึ่ง มิใช่ ใน สาระ สำคัญ หา ถึง กับ ทำ ให้ คำ ของ พยาน ในตอน อื่น ฟัง ไม่ ได้ ไป ทั้งหมด ไม่ ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ยกฟ้องโจทก์ ไม่ ต้อง ด้วย ความ เห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกา ของ โจทก์ ฟัง ขึ้น
พิพากษา กลับ ให้ บังคับ ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share