คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1838/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันเกิดเหตุ ผ. พาผู้เสียหายซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศชมวัดโดยเรือรับจ้างของจำเลย ขากลับเมื่อจำเลยขับเรือมาถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยหยุดเรือแล้วพูดภาษาไทยกับ ผ. ว่าต้องการค่าโดยสาร เมื่อผู้เสียหายทราบจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่ยังไม่ทันส่งเงินให้ ผ. ได้หยิบเอาเงิน2,000 บาท จากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไปส่งให้จำเลยบอกผู้เสียหายว่าเป็นค่าโดยสาร จำเลยแสดงท่าทางไม่พอใจต้องการเงินค่าโดยสารมากกว่านั้นอีก ผ. จึงหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายให้จำเลยอีก 500 บาท ผ. ยังแจ้งแก่ผู้เสียหายว่าไม่เพียงพอ ต้องการอีก 50 เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่ผู้เสียหายไม่มีให้ ผู้เสียหายเป็นชาวต่างประเทศและเป็นผู้โดยสารคนเดียวอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับ ผ. และจำเลยแสดงท่าทางขึงขังผู้เสียหายกลัวอันตรายจึงไม่กล้าขัดขืน เมื่อจำเลยขับเรือเข้าไปถึงฝั่ง ผู้เสียหายเห็นว่าปลอดภัยจึงได้พยายามเรียกร้องเอาเงินคืนผ.เอาเงินจากจำเลยคืนผู้เสียหาย1,000บาทจากนั้นผ.และจำเลยก็แยกย้ายกันไป พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า ผ. กับจำเลยรู้เห็นว่าจะกระทำการดังกล่าวด้วยกัน เป็นการร่วมกันกระทำความผิดเป็นตัวการด้วยกัน ส่วนการที่ ผ. และจำเลยคืนเงินบางส่วนให้ผู้เสียหายเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิด เพราะผู้เสียหายโวยวายขอเงิน การคืนเงินบางส่วนให้อาจเป็นการผ่อนคลายไม่ให้ผู้เสียหายติดใจดำเนินคดี จะนำมาเป็นเครื่องชี้เจตนาในการกระทำผิดหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 1 คนร่วมกันลักเอาธนบัตรไทย 2,400 บาท ของนายหลุยส์ บรูโน ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336, 83 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,400 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก 83 ลงโทษจำคุก 4 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามมาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 ปีให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,400 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายเป็นนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย วันเกิดเหตุนายเผือกได้พาผู้เสียหายไปเที่ยวชมวัด โดยลงเรือของจำเลยที่ท่าน้ำท่าเตียน เที่ยวจนเวลาประมาณ 17.30 นาฬิกา จึงได้กลับเมื่อจำเลยขับเรือมาถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยได้หยุดเรือเดินเข้ามาหาผู้เสียหาย ได้พูดภาษาไทยกับนายเผือกว่าต้องการค่าโดยสาร เมื่อผู้เสียหายทราบจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแต่ยังไม่ส่งเงินให้หรือตกลงราคาค่าโดยสาร นายเผือกได้หยิบเอาเงิน 2,000บาท จากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไปส่งให้จำเลย พร้อมกับบอกผู้เสียหายว่าเป็นค่าโดยสาร จำเลยแสดงท่าทางไม่พอใจต้องการเงินค่าโดยสารมากกว่านี้อีก นายเผือกจึงได้หยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายให้จำเลยอีก 400 บาท นายเผือกยังแจ้งแก่ผู้เสียหายว่าไม่เพียงพอต้องการอีก 50 เหรียญสหรัฐอเมริกาแต่ผู้เสียหายไม่มีให้ ทั้งเป็นจำนวนมากกว่าค่าโดยสารตามปกติ แต่เนื่องจากผู้เสียหายเป็นชาวต่างประเทศคนเดียวและอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบกับนายเผือกและจำเลยแสดงท่าทางขึงขัน ผู้เสียหายกลัวอันตรายจึงไม่กล้าขัดขืน เมื่อจำเลยขับเรือเข้าไปถึงฝั่งผู้เสียหายเห็นว่าปลอดภัยจึงได้พยายามเรียกร้องเอาเงินคืน นายเผือกได้ไปเอาเงินจากจำเลยมาคืนผู้เสียหาย 1,000 บาท จากนั้นนายเผือกและจำเลยก็แยกย้ายกันไป เห็นได้ว่าการเรียกร้องค่าโดยสารจากผู้เสียหายที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนที่จะถึงท่า เป็นการเลือกหาสถานที่และโอกาสในการกระทำความผิด จำเลยรับสารภาพว่าร่วมกับนายเผือกกระทำเช่นนั้นแก่นักท่องเที่ยวมาหลายครั้งและเมื่อได้เงินแล้วจะแบ่งกันกับนายเผือก ขณะเกิดเหตุทั้งนายเผือกและจำเลยแสดงท่าทางขึงขังเป็นเหตุให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวต่างประเทศคนเดียวและอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยากลัวอันตรายจึงไม่กล้าขัดขืน พฤติการณ์แห่งคดีบ่งชี้ว่า นายเผือกกับจำเลยรู้กันอยู่ว่าจะกระทำการดังกล่าวด้วยกันเป็นการร่วมกันกระทำความผิด เป็นตัวการด้วยกัน การที่นายเผือกและจำเลยคืนเงินบางส่วนให้ผู้เสียหายเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิดที่มีการคืนเงินบางส่วนให้ก็เพราะผู้เสียหายโวยวายขอเงินคืนและการคืนเงินบางส่วนให้อาจเป็นการผ่อนคลายไม่ให้ผู้เสียหายติดใจดำเนินคดี จะนำมาเป็นเครื่องชี้เจตนาในการกระทำความผิดหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share