แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2ได้ขับด้วยความประมาทชนรถของโจทก์เสียหาย ขอให้ร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกรถยนต์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกแรงงานร่วมกันรับจ้างบรรทุกของของผู้อื่น แล้วจำเลยที่ 2 นำสืบในทำนองนี้ และว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตกลงทำสัญญารับจ้างขนของรายนั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปตกลงเอง ผลประโยชน์แบ่งกันคนละครึ่ง ดังนี้ เห็นได้ว่าการดำเนินกิจการเกี่ยวกับรถยนต์คันนี้ ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เข้าลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกแรง จำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกทรัพย์เมื่อการกระทำของหุ้นส่วนทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดร่วมกันและแทนกัน และคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนด้วย คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 หรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถยนต์ เลขทะเบียน ก.ท.ว.11106 เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถดังกล่าวและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานในทางการที่จ้างตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 และปฏิบัติตามคำสั่งและในทางการที่จ้างและธุรกิจของจำเลยที่ 3 โดยบรรทุกลูกระเบิดซึ่งจำเลยที่ 2, ที่ 3 ร่วมกันรับจ้างขนส่งจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินอัตรา ได้ขับด้วยความประมาทชนรถยนต์อีซูซุ ก.ท.ร.10904 ของโจทก์ตกลงในคูเสียหายมากและนายประยูร แซ่เงียะ ลูกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นคนขับได้รับบาดเจ็บ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระค่าซ่อมแซมรถ 37,965 บาท ค่าเสียเวลาไม่ได้ใช้รถระหว่างซ่อม ต้องเช่ารถผู้อื่น 60,000 บาท ค่ารถเสื่อมราคา 50,000 บาทและดอกเบี้ยจากเงินค่าซ่อมรถนับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์ ก.ท.ร.10904 จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ปฏิบัติงานในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ความจริงจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกรถยนต์ จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายออกแรงงานร่วมกันรับจ้างบรรทุกลูกระเบิด จำเลยที่ 3 จึงเป็นนายจ้าง การที่รถชนกันเป็นความประมาทของลูกจ้างโจทก์ค่าเสียหายไม่เท่าที่ฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 2 และปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทน ไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ปฏิบัติงานในทางการที่จ้างหรือคำสั่งของจำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถโจทก์โดยละเมิด จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดด้วย ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันและแทนกันชำระค่าซ่อมรถ33,001 บาท ค่าเช่ารถจากคนอื่น 30,000 บาท ค่ารถเสื่อมราคา 10,000 บาทและดอกเบี้ยในเงินค่าซ่อมรถ 33,001 บาท นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น ข้อนี้จำเลยที่ 2 ได้ให้การไว้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกรถยนต์ จำเลยที่ 1เป็นผู้ออกแรงงานร่วมกันรับจ้างบรรทุกลูกระเบิดให้องค์การ ร.ส.พ. และในการนำสืบ จำเลยที่ 2 ก็นำสืบในทำนองนี้ เพียงแต่ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ไปตกลงทำสัญญากับองค์การ ร.ส.พ.เองเท่านั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปตกลงเอง ส่วนผลประโยชน์แบ่งกันคนละครึ่ง ดังนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าการดำเนินกิจการเกี่ยวกับรถยนต์คันนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 เข้าลักษณะเป็นหุ้นส่วนกันโดยจำเลยที่ 1เป็นผู้ออกแรง จำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกทรัพย์ เมื่อการกระทำของหุ้นส่วนทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกคือโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดร่วมกันและแทนกันในกิจการของหุ้นส่วน และคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนด้วย คดีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 หรือไม่
เมื่อวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นด้วยแล้ว พิพากษายืน