คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกักขังแทนค่าปรับในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทขึ้นไป ศาลมีอำนาจให้กักขังเกินกว่าหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปีได้แต่ศาลจะต้องสั่งไว้ให้ชัดแจ้งหากศาลไม่ได้สั่งไว้โดยชัดแจ้งก็จะกักขังเกินกำหนดหนึ่งปีไม่ได้
ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาสั่งในคำร้องขอให้รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า”พิเคราะห์แล้วอนุญาตให้รับเป็นฎีกา สำเนาอีกฝ่ายแก้” คำสั่งดังกล่าวถือไม่ได้ว่าได้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะในคำสั่งมิได้แสดงว่ามีข้อความใดที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกาวินิจฉัยและอนุญาตให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 กำหนดให้ปรับเป็นสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วการปรับจึงต้องปรับเป็นสี่เท่าของราคาของและค่าอากรรวมกันหาใช่ปรับสี่เท่าเฉพาะราคาของอย่างเดียวแล้วบวกกับค่าอากรไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันฉ้อภาษีของรัฐบาลโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่จำเลยร่วมกันสั่งซื้อและนำเข้ามาในราชอาณาจักร ด้วยการยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการค้าต่อกรมศุลกากรพร้อมกับใบอินวอยซ์สำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงที่ซื้อมา ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๒,๓๘๕,๕๘๖.๔๐ บาทถ้าไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙,๓๐ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ถ้าจะต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังมีกำหนด ๒ ปี
จำเลยที่ ๒ ฎีกา โดยยื่นคำร้องขอให้รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า “พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้รับเป็นฎีกาสำเนาอีกฝ่ายแก้”
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวถือไม่ได้ว่าผู้พิพากษาผู้นั้นได้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะในคำสั่งมิได้แสดงว่ามีข้อความใดที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกาวินิจฉัยและอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนฎีกาที่ว่าศาลชั้นต้นคำนวณค่าปรับไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗บัญญัติให้ปรับเป็นสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วดังนี้ จึงต้องปรับเป็นสี่เท่าของราคาของและค่าอากรรวมกันหาใช่ปรับสี่เท่าเฉพาะราคาของอย่างเดียว แล้วบวกค่าอากรดังที่จำเลยที่ ๒ฎีกาไม่
ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยที่ ๒ และระบุว่า”ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙, ๓๐” ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแต่ระบุว่า “ถ้าจะต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังมีกำหนด ๒ ปี” เห็นว่า การกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐ วรรคแรก ตามปกติให้ถืออัตรายี่สิบบาทต่อหนึ่งวัน และห้ามกักขังเกินกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทขึ้นไปหากศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจให้กักขังเกินกว่าหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปีได้ แต่ทั้งนี้ศาลจะต้องสั่งไว้ให้ชัดแจ้ง หากศาลไม่ได้สั่งไว้เป็นอย่างอื่นโดยชัดแจ้ง ก็จะกักขังเกินกำหนดหนึ่งปีไม่ได้ถึงแม้ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทขึ้นไปก็ตาม คดีนี้ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้กักขังจำเลยที่ ๒ ไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น หากจะกักขังแทนค่าปรับก็กักขังได้เพียงหนึ่งปี การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าหากจะกักขังแทนค่าปรับให้กักขังมีกำหนดสองปีจึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share