แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ซื้อรับโอนการครอบครองที่ดินมาโดยรู้ว่าที่ดินที่ตนซื้อนั้นเป็นของผู้อื่น ไม่ใช่ของผู้ที่โอนขายให้แก่ตน ผู้โอนเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองแทนเจ้าของอันแท้จริงเท่านั้น เช่นนี้ผู้รับโอนย่อมจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันเจ้าของอันแท้จริงหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่นามือเปล่า 1 แปลงที่จังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ได้เอาไปจำนำไว้กับนางฉุนและให้นางฉุนทำต่างดอกเบี้ย ส่วนโจทก์ย้ายไปอยู่ในจังหวัดพระนคร จำเลยที่ 1 ได้ลักลอบนำนาแปลงนี้ไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ไม่ทราบจึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่รายพิพาทเป็นของโจทก์ เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ฯลฯ
จำเลยที่ 2 ให้การว่าโจทก์ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรเขยโจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์ก็ทราบ จำเลยครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมา 4 ปีแล้ว
ส่วนจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ยกนารายพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 เอานาไปขายให้จำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม เมื่อจำเลยที่ 1ไม่มีสิทธิ์ในที่พิพาทเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ผู้รับโอนไปโดยรู้ว่าที่นั้นเป็นของโจทก์ ก็ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ปกครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์ฉะนั้นจำเลยที่ 2 ซึ่งสืบสิทธิมาจากจำเลยที่ 1 ก็ย่อมอ้างการปกครองปรปักษ์ยันโจทก์ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว จึงพิพากษายืน