คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1832/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ขนส่งโดยจำเลยที่ 1 ตกลงรับขนส่งสินค้าพิพาทไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสอง การที่มีผู้ขับเรือนำเรือลำเลียงมารับสินค้าพิพาทเพื่อขนส่งไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสองย่อมเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เมื่อสินค้าพิพาทเสียหายระหว่างการขนส่ง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาทนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 616
สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนมีว่า จำเลยที่ 1 รับขนส่งสินค้าพิพาทโดยเรือลำเลียงไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสอง แต่ระหว่างการขนส่งมีน้ำไหลเข้าไปในเรือลำเลียงเป็นเหตุให้สินค้าพิพาทซึ่งเป็นเหล็กม้วนเป็นสนิม ได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้ขนส่งต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่าเรือมีรอยรั่วบริเวณด้านบนของกราบขวาเรือ ทำให้น้ำเข้าเรือ เป็นเพียงรายละเอียด เพราะแม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบว่าน้ำไหลเข้าไปในเรือลำเลียงได้อย่างไร จำเลยที่ 1 ก็ยังต้องรับผิดตามสภาพแห่งข้อหาดังกล่าว เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิสูจน์ได้ว่าการที่น้ำไหลเข้าไปในเรือเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่าน้ำไหลเข้าเรือตามรอยรั่วดังกล่าว แต่ไหลเข้าตามรอยรั่วแห่งอื่น ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายของสินค้าเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย ไม่ถือว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังข้อเท็จจริงเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องแต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,931,281.28 บาท และจำนวน 479,679.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,923,377 บาท และต้นเงินจำนวน 478,205.68 บาท ตามลำดับ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,923,377 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2550 และชำระเงินจำนวน 478,205.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,904.28 บาท และ 1,473.92 บาท ตามลำดับ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อแรกว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในความเสียหายของสินค้าได้หรือไม่ เห็นว่า คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ขนส่งโดยจำเลยที่ 1 ตกลงรับขนส่งสินค้าพิพาทไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสอง การที่มีผู้ขับเรือนำเรือลำเลียงมารับสินค้าพิพาทเพื่อขนส่งไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสองย่อมเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เมื่อสินค้าพิพาทเกิดความเสียหายในระหว่างการขนส่ง จำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาทนั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 ผู้ขนส่ง และจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ร่วมกันรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาทได้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนมีว่า จำเลยที่ 1 รับขนส่งสินค้าพิพาทโดยเรือลำเลียงไปยังโรงงานของผู้รับตราส่งทั้งสอง แต่ระหว่างการขนส่งมีน้ำไหลเข้าไปในเรือลำเลียงเป็นเหตุให้สินค้าพิพาทซึ่งเป็นเหล็กม้วน เป็นสนิมได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้ขนส่งต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่าเรือมีรอยรั่วบริเวณด้านบนของกราบขวาเรือ ทำให้น้ำเข้าเรือ เป็นเพียงรายละเอียดเพราะแม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบว่าน้ำไหลเข้าไปในเรือลำเลียงได้อย่างไรจำเลยที่ 1 ก็ยังต้องรับผิดตามสภาพแห่งข้อหาดังกล่าว เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิสูจน์ได้ว่าการที่น้ำไหลเข้าไปในเรือเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่าน้ำไหลเข้าเรือตามรอยรั่วบริเวณด้านบนของกราบขวาเรือ แต่ไหลเข้าตามรอยรั่วแห่งอื่น ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายของสินค้าเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย ไม่ถือว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังข้อเท็จจริงเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องแต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไปว่า ความเสียหายของสินค้าพิพาทเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือไม่ เห็นว่า จากรูปถ่ายรอยฉีกขาดของเรือลำเลียงในรายงานการสำรวจภัย จะเห็นตำแหน่งของรอยฉีกขาดอยู่บริเวณด้านข้าง เหนือจากพื้นท้องเรือเล็กน้อย ตัวเรือทำด้วยเหล็กหนา 8 มิลลิเมตร ส่วนข้างของลำเรือมีลักษณะตั้งชันขึ้นมาจากส่วนที่เป็นท้องเรือ มิได้แบะออกทั้งสองข้างเหมือนเรือทั่วไป ดังนั้น ขณะที่เรือลำเลียงถูกลากจูงเล่นไปข้างหน้า โอกาสที่ด้านข้างของลำเรือจะถูกกระแทกจึงมีน้อยมาก เว้นแต่การบังคับเรือลำเลียง หรือการลากจูงเรือลำเลียงไปตามลำน้ำมิได้เป็นไปในลักษณะที่เหมาะสมอาจทำให้ด้านข้างเรือเซไปปะทะกับเหล็กแหลมที่อยู่ใต้น้ำตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบก็อาจเป็นไปได้ แต่เหล็กแหลมที่ว่านี้ต้องมีความแข็งแรงและคมมากและมิได้ลอยอยู่ในน้ำเฉย ๆ ถึงจะมีแรงเจาะทะลุเหล็กผนังเรือเข้าไปได้ โดยที่เหล็กแหลมมิได้หัก ซึ่งมีทางเป็นไปได้น้อย แต่อย่างไรก็ตาม หากเหตุน้ำเข้าเรือเกิดขึ้นจากสาเหตุตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบ ก็ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ทั้งนี้การที่เรือลำเลียงแล่นไป แล้วถูกของแหลมที่อยู่ใต้น้ำซึ่งมองไม่เห็น น่าจะไม่ใช่การเดินเรือตามปกติอย่างที่เรือลำอื่น ๆ ปฏิบัติกัน แต่เห็นได้ว่าหากการลากจูงและบังคับให้เรือแล่นเป็นแนวตรงไปในเส้นทางที่เรือลำอื่นใช้สัญจรก็อาจไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ที่ผู้ขนส่งอาจป้องกันได้จึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จำเลยที่ 1 ผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาท
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share