คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18311/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์นำสำรวจแบ่งแยกที่ดิน แต่เจ้าพนักงานที่ดินคำนวณเนื้อที่ผิดพลาดเป็นเหตุให้เนื้อที่ที่ดินขาดหายไปเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลย กับมีคำขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนแก้ไขทำเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ที่ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ อันเป็นการกล่าวอ้างว่าโฉนดที่ดินของโจทก์ออกโดยคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง ซึ่งหากโจทก์เห็นว่าการออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ของเจ้าพนักงานที่ดินทำไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยประการใดจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ต้องดำเนินการฟ้องร้องเจ้าพนักงานที่ดินผู้ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์โดยตรง แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกระทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับโฉนดที่ดินของโจทก์ อันเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินที่จะดำเนินการโดยไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดิน ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขโฉนดที่ดินของจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจพิพากษาให้ตามฟ้องของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนหรือแก้ไขทำเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ที่ปรากฏในโฉนดที่ดินเลขที่ 12996 ตำบลตะโหมด อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง จากเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 4.9 ตารางวา เป็นเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 25.4 ตารางวา หากจำเลยไม่ทำการใดให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นนี้ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีสามารถพิพากษาให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์นำสำรวจแบ่งแยกที่ดินแปลงหน้าสำรวจ 4281 ซึ่งมีเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 25.4 ตารางวา เพื่อออกเป็นโฉนดที่ดิน แต่เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 12996 มีเนื้อที่เพียง 5 ไร่ 1 งาน 4.9 ตารางวา ขาดหายไป 1 ไร่ 2 งาน 20.5 ตารางวา โดยที่ดินของโจทก์ที่ขาดหายไปเป็นบริเวณที่อยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 12995 ของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ ครั้นปลายปี 2551 จำเลยยื่นเรื่องราวขอรังวัดสอบแนวเขตที่ดิน โจทก์จึงทราบว่า ที่เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์มีเนื้อที่ขาดหายไป 1 ไร่ 2 งาน 20.5 ตารางวา เนื่องจากเจ้าพนักงานที่ดินที่เกี่ยวข้องไม่นำที่ดินตามแนวเขตที่ดินอีก 2 หลัก ใน 8 หลัก ของโจทก์มาคำนวณเนื้อที่ ทำให้ที่ดินในโฉนดที่ดินของโจทก์เหลือเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 4.9 ตารางวา ซึ่งไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงที่ได้ทำการสอบสวนสิทธิมาตั้งแต่ต้น โจทก์จึงคัดค้านว่าเนื้อที่ที่ดินของจำเลยรุกล้ำและทับที่ดินของโจทก์ 1 ไร่ 2 งาน 20.5 ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินนัดไกล่เกลี่ยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมไปตามนัด โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยแก้ไขหรือเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้องแล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนแก้ไขทำเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ที่ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ที่ปรากฏในโฉนดที่ดินเลขที่ 12996 ตำบลตะโหมด อำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง จากเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 4.9 ตารางวา เป็นเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 25.4 ตารางวา หากจำเลยไม่ทำการใดให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จากคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว โจทก์กล่าวอ้างว่าโฉนดที่ดินของโจทก์ออกโดยคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง โดยโฉนดที่ดินของโจทก์มีเนื้อที่น้อยกว่าความเป็นจริง ซึ่งหากโจทก์เห็นว่าการออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ของเจ้าพนักงานที่ดินทำไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยประการใดจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ต้องดำเนินการฟ้องร้องเจ้าพนักงานที่ดินผู้ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์โดยตรง แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกระทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับโฉนดที่ดินของโจทก์ อันเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินที่จะดำเนินการโดยไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดิน ทั้งโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ดินโฉนดเลขที่ 12995 ของจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจพิพากษาให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share