คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 และมาตรา 11 เป็นเพียงบทบัญญัติกำหนดคุณสมบัติและเหตุที่พนักงานรัฐวิสาหกิจจะต้องพ้นจากตำแหน่งเพื่อให้รัฐวิสาหกิจถือเป็นแนวเดียวกัน มิได้หมายความว่าเมื่อพนักงานรัฐวิสาหกิจผู้ใดอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์การจ้างเป็นอันระงับไปทันที แต่รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างจะต้องดำเนินการให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 เงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ย จำเลยจัดให้มีขึ้นต่างหากจากค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและมีวัตถุประสงค์ในทางสงเคราะห์พนักงานและทายาท เงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเรียกเก็บจากพนักงานเป็นรายเดือน ส่วนเงินบำนาญเป็นเงินตอบแทนแก่ลูกจ้างที่ทำงานมาด้วยดีจนถึงวันออกจากงาน ซึ่งจำเลยจ่ายโดยอาศัยหลักเกณฑ์และใช้วิธีคำนวณทำนองเดียวกับกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ อันแตกต่างไปจากวิธีการคำนวณค่าชดเชยเงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ยกับเงินบำนาญจึงมิใช่ค่าชดเชยแม้มากกว่าค่าชดเชยก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยอีก

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสิบสำนวนซึ่งศาลแรงงานกลางรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบเพราะเหตุเกษียณอายุโดยโจทก์ทั้งสิบไม่มีความผิด จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งสิบเพียงเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน ยังขาดอยู่อีกเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวันและจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ที่ 5 ที่ 6 ที่ 9 และที่ 10ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยที่ขาดและค่าจ้างที่ยังมิได้จ่าย จำเลยทั้งสิบสำนวนให้การว่าโจทก์ทั้งสิบต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 และมาตรา 11 จำเลยจ่ายเงินทดแทนเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้าย3 เดือน ตามมติของคณะกรรมการจำเลย จ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ยกับจ่ายเงินบำเหน็จหรือบำนาญตามข้อบังคับและระเบียบของจำเลย ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนดถือว่าเป็นค่าชดเชยแล้ว โจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีไม่มีสิทธิฟ้องเพราะไม่ใช้สิทธิลาในวันหยุดที่เหลืออยู่เองวันนัดพิจารณาคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าจำเลยให้โจทก์ทั้งสิบพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุและได้จ่ายเงินตามคำให้การให้โจทก์ทั้งสิบรับไปแล้ว โจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีมีวันหยุดเหลืออยู่ ซึ่งหากมีสิทธิได้รับค่าจ้างจะเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง คู่ความไม่สืบพยานศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสิบและจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีแก่โจทก์ที่ 5 ที่ 6ที่ 9 และที่ 10 ตามฟ้อง จำเลยทั้งสิบสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าการที่จำเลยให้โจทก์ทั้งสิบออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ไม่ใช่การเลิกจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน แต่เป็นเพราะผลบังคับของกฎหมาย คือพระราชบัญญัติ คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 ซึ่งถือว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมีกำหนดเวลาจ้างที่แน่นอนอยู่ในตัวด้วย โจทก์ทั้งสิบจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและดอกเบี้ยนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9 และมาตรา 11เป็นเพียงบทบัญญัติกำหนดคุณสมบัติและเหตุที่พนักงานรัฐวิสาหกิจจะต้องพ้นจากตำแหน่ง เพื่อให้รัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน มิได้หมายความว่าเมื่อพนักงานรัฐวิสาหกิจผู้ใดขาดคุณสมบัติเนื่องจากอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ การจ้างเป็นอันระงับไปทันที แต่รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างจะต้องดำเนินการให้พนักงานผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 แล้วโจทก์ทั้งสิบจึงมีสิทธิได้ค่าชดเชย ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ทำนองว่าการเกษียณอายุเป็นการจ้างโดยมีกำหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอนนั้นเห็นว่า จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า เมื่อโจทก์ทั้งสิบออกจากงานจำเลยได้จ่ายเงินทดแทน 3 เดือน ของค่าจ้างเดือนสุดท้ายเงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ย กับเงินบำนาญให้โจทก์ทั้งสิบซึ่งมากกว่าค่าชดเชยที่กฎหมายกำหนดและถือเป็นการจ่ายค่าชดเชยแล้วนั้นเห็นว่า เงินทดแทน 3 เดือนของค่าจ้างเดือนสุดท้ายที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสิบเมื่อเกษียณอายุ ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยแล้วเท่ากับจำนวนเงินดังกล่าว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับเงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ยกับเงินบำนาญนั้นเห็นว่าเงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ย จำเลยจัดให้มีขึ้นต่างหากไปจากค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และมีวัตถุประสงค์ไปในทางสงเคราะห์พนักงานและทายาท เงินจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเรียกเก็บจากพนักงานเป็นรายเดือน ส่วนเงินบำนาญเป็นเงินตอบแทนแก่ลูกจ้างที่ทำงานมาด้วยดีจนถึงวันออกจากงาน ซึ่งจำเลยจ่ายโดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณทำนองเดียวกับกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ อันแตกต่างไปจากวิธีการคำนวณค่าชดเชย เงินกองทุนสงเคราะห์และดอกเบี้ยกับเงินบำนาญจึงมิใช่ค่าชดเชย แม้จะมากกว่าค่าชดเชยก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสิบที่จะฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลย”
พิพากษายืน

Share