คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดเป็นเพียงรายละเอียดของฟ้อง มิใช่ข้อสารสำคัญ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หากจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ก็มิใช่เหตุอันจะถึงยกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป พร้อมทั้งเอกสารการซื้อขายรถดังกล่าว และเอกสารที่นายจำลอง ธรรมกุล กับนายเฉลียว โคตรมา ลงชื่อไว้เพื่อจะกรอกข้อความรับรองการซื้อขายรถ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ โดยกรอกข้อความลงในเอกสารที่นายจำลองกับนายเฉลียวลงชื่อไว้นั้น ว่านายเฉลียวได้ขายรถจักรยานยนต์ดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เขียนข้อความ และจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้นำเอกสารดังกล่าวไปใช้และอ้างสิทธิต่อพนักงานสอบสวน โดยจำเลยที่ ๑ รู้ว่าเป็นเอกสารปลอม เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้ และได้รถจักรยานยนต์กับเอกสารสัญญาซื้อขายและเอกสารที่จำเลยทำปลอมเป็นของกลาง โดยจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักทรัพย์ดังกล่าวซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายจ้าง หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันริบทรัพย์ดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานหลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕, ๒๖๘, ๓๓๔, ๓๓๕ (๗) (๑๑), ๓๕๗, ๘๓ ขอให้คืนรถกับสัญญาซื้อขาย และริบสัญญาซื้อขายปลอมของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อ และวินิจฉัยว่า ทางพิจารณาได้ความว่า เกิดการกระทำผิดก่อนวันที่โจทก์บรรยายฟ้องคนละเดือน เป็นการผิดเดือน ซึ่งเป็นข้อสารสำคัญพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เวลาใดไม่ปรากฏชัดระหว่างวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๐ ถึง วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือมิฉะนั้นวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างวันเวลาดังกล่าวถึงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำผิดฐานรับของโจร และวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างวันเวลาดังกล่าวข้างต้น ถึงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๑๐ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ระหว่างวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๒๔ เดือนเดียวกัน จำเลยได้ร่วมกันลักรถและเอกสาร หรือระหว่างวันดังกล่าวถึงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๑๐ จำเลยร่วมกันทำผิดฐานรับของโจรและร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับฟ้องไป ๑ เดือน ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสารสำคัญ จำเลยหลงข้อต่อสู้ด้วยหรือไม่ ไม่สำคัญ พิพากษายืนให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยนำสืบต่อสู้โดยมิได้หลงเข้าใจผิดอย่างใดในการที่เกิดสับสนเกี่ยวกับวันเวลาที่เกิดเหตุ การที่ผิดวันเวลาไปคนละเดือนเกิดจากผู้เสียหายเบิกความคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจเกิดจากความเข้าใจผิด วันเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิด เป็นเพียงรายละเอียดของฟ้องมิใช่ข้อสารสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา๑๕๘ (๕) และจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ จึงมิใช่เหตุอันจะพึงยกฟ้อง และเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มั่นคงพอ ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยกระทำผิด
พิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาโจทก์

Share