คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ มีระเบียบวิธีปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะไว้แล้ว และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของจำเลยเป็นการเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาหุ้นมากกว่าประสงค์ให้มีการโอนหุ้นกันจริงจัง จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามแบบของการโอนหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129วรรคสอง ดังนั้น การซื้อขายและโอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยจึงไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมอบอำนาจให้โจทก์เป็นตัวแทนจำเลยในการซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์ต่าง ๆ โจทก์ได้ออกเงินทดรองให้จำเลยแล้วเป็นเงิน 384,281.50 บาท ต่อมาจำเลยขอผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยทำเป็นหนังสือสัญญากู้ให้แก่โจทก์สองฉบับจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วน แล้วไม่ชำระให้อีกเลยขอให้บังคับจำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 338,595.98 บาท(ที่ถูกน่าจะเป็น .75) พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 209,315 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี ของเงินต้น93,222.38 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยให้การว่าการออกเงินให้จำเลยกู้เพื่อซื้อหุ้นชนิดระบุชื่อในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีการโอนหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 วรรคสอง และจะต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์หุ้นที่ซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 453 แต่ปรากฏว่าการซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์ดังกล่าว โจทก์กระทำไปผิดแบบ การซื้อขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะและไม่เป็นการซื้อขาย เพราะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์หุ้นโจทก์ไม่เคยออกเงินทดรอง เพื่อการซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์แก่จำเลยขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 338,595.98 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 209,315 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปีของต้นเงิน 93,222.38 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้รวม 2 ฉบับ ตามฟ้องให้โจทก์ยึดถือไว้จริง ทั้งนี้เนื่องจากจำเลยเป็นหนี้โจทก์จากการที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองในการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้จำเลยไปก่อนและยังมิได้รับชำระจำเลยจึงทำหนังสือสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือไว้ตามจำนวนหนี้ที่ยังค้างชำระดังกล่าว
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตลอดทั้งการโอนหุ้นที่โจทก์ได้กระทำไปเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีระเบียบวิธีปฏิบัติตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะไว้แล้ว และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของจำเลยเป็นการเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคาหุ้นมากกว่าประสงค์ให้มีการโอนหุ้นกันจริงจัง จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามแบบของการโอนหุ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง ดังนั้นการซื้อขายและโอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยจึงไม่เป็นโมฆะ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และสำหรับข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า ได้ทำสัญญากู้สองฉบับไปโดยสำคัญผิดนั้น จำเลยก็มิได้อ้างเหตุแห่งความสำคัญผิดอันเป็นสาระสำคัญที่จะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะดังที่จำเลยฎีกา ตรงกันข้ามจำเลยกลับเบิกความยอมรับว่า จำเลยได้ตรวจดูเอกสารสัญญากู้ทั้งสองฉบับก่อนแล้วจึงได้ลงลายมือชื่อ ทั้งจำเลยยังได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาโดยการผ่อนชำระหนี้เป็นงวด ๆ ตลอดมา จนเมื่อจำเลยเกิดผิดนัดขึ้นในภายหลัง จึงหวนกลับมากล่าวอ้างถึงความสำคัญผิดของนิติกรรมขึ้นเป็นข้อแก้ตัวว่า ความจริงจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์อยู่ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาอันเป็นเหตุผลที่ยากจะรับฟังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share