คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 55 นั้น ผู้ที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลเช่นในกรณีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเพราะทรัพย์นั้นมิใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น หาจำจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิในทรัพย์นั้นไม่ ผู้มีส่วนได้เสียในกรณีย่อมมาใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยการร้องขัดทรัพย์
ผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้มีสิทธิเข้าถือเอาไม้ในป่าตามที่กำหนดให้นั้น ย่อมมีสิทธิร้องขัดทรัพย์ในเมื่อไม้ที่ถูกตัดมาจากป่าสัมปทานของผู้ร้องได้ถูกยึดทรัพย์ไว้

ย่อยาว

คดีนี้เป็นเรื่องพิพาทกันในชั้นขัดทรัพย์ คือ โจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาซื้อขายแก่นไม้คูนจำนวนหนึ่งแสนกิโลกรัม เรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๓๖,๐๐๐ บาท จำเลยทำสัญญาปราณีประนอมต่อหน้าศาล ยอมชำระเงินให้แก่โจทก์แล้วกลับไม่ชำระโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไม้สักแปรรูปรวม ๑๕๔ ท่อน ซึ่งไม่มีรอยดวงตราหรือเครื่องหมายกรรมสิทธิของผู้ใด อ้างว่าเป็นของจำเลย ๔ คน รวมราคาประมาณ ๑๒๓๒๐ บาท
บริษัทหลุยทีเลียงโนเวนส์ ยื่นคำร้องและคำแก้ไขขอให้สั่งปล่อยการยึดสำหรับไม้ ๓๙ ท่อนในจำนวนดังกล่าวโดยอ้างว่าไม้ ๓๙ ท่อนนั้นเป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง โดยผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองและมีสิทธิทำไม้ตามสัมปทานที่รัฐบาลออกให้แก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าแม้จะฟังว่าไม้เหล่านั้นถูกตัดมาจากป่าสัมปทานของผู้ร้องก็ดี แต่ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิครอบครองในไม้เหล่านั้น เมื่อผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของหรือไม่มีสิทธิครอบครองแล้ว ผู้ร้องจะเข้าขัดทรัพย์ไม่ได้ จึงสั่งงดการพิจารณาแล้วชี้ขาดเบื้องต้นให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามมาตรา ๒๘๘ อันประกอบด้วยมาตรา ๕๕ แห่ง ป.ม.วิ.แพ่งนั้น ผู้ที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล เช่นในกรณีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด เพราะทรัพย์นั้นมิใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น หาจำจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิหรือทรัพย์สิทธิในทรัพย์สินนั้นไม่ ผู้มีส่วนได้เสียในกรณีย่อมมาใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยการร้องขัดทรัพย์ กรณีนี้ผู้ร้องเป็นผู้รับสัมปทานจากรัฐให้เป็นผู้มีสิทธิเข้าถือเอาไม้ในป่าตามที่กำหนดให้แต่ผู้เดียว ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดได้ จึงพิพากษากลับให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นแลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ไว้ พิจารณาสั่งต่อไป

Share