แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยอมรับต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่กองกำลังพล กรมตำรวจว่าจำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจที่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยเสนอแต่งตั้งให้จำเลยดำรงตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่นเป็นตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามแม้คำรับดังกล่าวจะเป็นคำบอกเล่าก็ตาม แต่ก็เป็นคำบอกเล่าที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ จึงรับฟังได้ จำเลยปลอมเอกสารบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจอันเป็นเอกสารราชการขณะเอกสารดังกล่าวถูกส่งไปตามสายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลถึงอธิบดีกรมตำรวจและยังคงค้างอยู่ที่กองกำลังพล กรมตำรวจย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองกำลังพลกรมตำรวจ ที่จะเสนอเอกสารดังกล่าวไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจอยู่แล้ว จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่กองกำลังพล กรมตำรวจ โดยวิธีแนบเรื่องไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจดังโจทก์ฟ้อง จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันปลอมหนังสือบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจให้ได้รับเงินเดือนตามวุฒิ อันเป็นเอกสารราชการของพลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ บันทึกเสนออธิบดีกรมตำรวจเพื่อบรรจุแต่งตั้งจำเลยซึ่งมียศสิบตำรวจเอก ซึ่งได้รับปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตให้ได้รับเงินเดือนตามวุฒิในตำแหน่งรอง สวป.สน.ประชาชื่น โดยจำเลยกับพวกได้ขูดลบข้อความ”รอง สวป.สน.ประชาชื่น” ออกแล้วพิมพ์ข้อความ “รอง สวป.สน.ชนะสงคราม”ลงไปแทนและขูดลบตัวเลขช่องตำแหน่งเลขที่ “สน.1-279” ออกแล้วพิมพ์เลขที่ “99” ลงไปแทน เพื่อให้อธิบดีกรมตำรวจหลงเชื่อว่าพลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ เสนอแต่งตั้งจำเลยให้ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่พลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธ์ อธิบดีกรมตำรวจและประชาชน และจำเลยได้นำเอกสารราชการปลอมแปลงดังกล่าวไปใช้และอ้างแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำลังพล กรมตำรวจโดยวิธีนำเอกสารปลอมดังกล่าวแนบเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาชั้นสูงตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจ เพื่อให้เชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่แท้จริงจนอธิบดีกรมตำรวจแต่งตั้งจำเลยให้ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่กองกำลังพล กรมตำรวจ พลตำรวจโทเสน่ห์สิทธิพันธ์ อธิบดีกรมตำรวจ และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268 และริบเอกสารปลอมจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 จำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหามีเพียงว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกปลอมและใช้เอกสารดังกล่าวตามฟ้องหรือไม่
ได้ตรวจสอบพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วร้อยตำรวจตรีไพบูลย์ เบิกความตอบโจทก์ว่า ราวกลางเดือนมิถุนายน2523 ตำรวจที่ขอปรับคุณวุฒิกว่า 10 คนรวมทั้งจำเลยได้ไปติดตามเรื่องของแต่ละคนที่ร้อยตำรวจตรีไพบูลย์ จำเลยได้หยิบเอาแฟ้มเรื่องของจำเลยที่วางบนโต๊ะไปดูทางด้านหลังห้องทำงานของร้อยตำรวจตรีไพบูลย์ประมาณ 10-20 นาที จึงนำมาคืนและตอบค้านทนายจำเลยว่า เมื่อจำเลยนำแฟ้มมาคืนนั้น ร้อยตำรวจตรีไพบูลย์สังเกตว่ามีร่องรอยลบด้วยยาลบหมึกขาว ๆ แต่ก็มิได้สนใจโดยคิดว่าต้นสังกัดเป็นผู้แก้ไขคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีไพบูลย์ดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาเห็นว่ารับฟังได้ เพราะร้อยตำรวจตรีไพบูลย์เป็นเพื่อนของจำเลยเข้ารับการอบรมเพื่อปรับคุณวุฒิรุ่นที่ 24 พร้อมกัน ทั้งร้อยตำรวจตรีไพบูลย์กับจำเลยก็ไม่มีสาเหตุกันมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงว่าร้อยตำรวจตรีไพบูลย์จะเบิกความปรักปรำจำเลย
นอกจากร้อยตำรวจตรีไพบูลย์แล้ว โจทก์ยังได้อ้างพันตำรวจตรีอาภรณ์ ไชยปะ ว่าที่พันตำรวจตรีบรรจง ตันศยานนท์พันตำรวจเอกสุเทพ ธรรมรักษ์ พันตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภและพลตำรวจตรีสนอง วัฒนวรางกูร มาเบิกความเป็นพยานว่าเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2523 หลังจากมีข่าวเรื่องคำสั่งแต่งตั้งจำเลยถูกแก้ไขแล้ว จำเลยได้มาที่กองกำลังพล พันตำรวจตรีอาภรณ์ และว่าที่พันตำรวจตรีบรรจงจึงได้เชิญจำเลยไปพบพันตำรวจเอกสุเทพพร้อมกับร้อยตำรวจตรีไพบูลย์ จำเลยก็ได้ยอมรับต่อพันตำรวจเอกสุเทพว่า จำเลยเป็นคนแก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในเอกสารหมาย จ.2 รุ่งขึ้นวันที่ 4 กันยายน 2523 เมื่อจำเลยมาพบพันตำรวจเอกวาสนา จำเลยก็ยอมรับต่อพันตำรวจเอกวาสนาต่อหน้าพลตำรวจตรีสนองว่า จำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในเอกสารหมาย จ.2 คำพยานโจทก์ดังกล่าวสอดคล้องต้องกัน และเป็นคำเบิกความของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไม่มีเหตุที่น่าสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลย แม้จะเป็นคำบอกเล่าแต่เป็นคำบอกเล่าที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์จึงรับฟังได้
นอกจากพยานดังกล่าวแล้ว พลตำรวจตรีธำรง ปิณฑะรุจิ และพลตำรวจตรีธวัช ทัพโพทยาน ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก็เบิกความอย่างเดียวกันว่า จำเลยได้ยอมรับต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในเอกสารหมาย จ.2 ดังปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.13
ตามเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมานี้ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกับพวกปลอมเอกสาร ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่มีพยานเห็นจำเลยลบข้อความเดิมและพิมพ์ข้อความใหม่ลงไปในเอกสารหมาย จ.2ก็รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกปลอมเอกสารนั้น
สำหรับข้อนำสืบของจำเลยที่ปฏิเสธว่า จำเลยมิได้ไปที่กองกำลังพลในระหว่างเดือนมิถุนายน 2523 มิได้ติดตามเรื่อง และในวันที่ 3และวันที่ 4 กันยายน 2523 จำเลยมิได้พบกับพันตำรวจตรีอาภรณ์พันตำรวจเอกสุเทพ พันตำรวจเอกวาสนา และพลตำรวจตรีสนองนั้น ปรากฏในคำให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.20 ที่จำเลยปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิดว่า จำเลยได้ไปติดตามเรื่องและพบร้อยตำรวจตรีไพบูลย์ที่กองกำลังพลเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2523 และประมาณเดือนสิงหาคม 2523 จำเลยและพวกได้เป็นผู้นำเรื่องบรรจุแต่งตั้งกลับคืนจากกระทรวงมหาดไทยพันตำรวจโทบรรจงจึงได้นำจำเลยไปพบพันตำรวจเอกวาสนา ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวข้างต้นจึงรับฟังไม่ได้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ด้วยนั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงได้ความว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นบันทึกข้อความของผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขอบรรจุแต่งตั้งข้าราชการตำรวจรวมทั้งจำเลยตามคุณวุฒิถึงอธิบดีกรมตำรวจแต่ในขณะที่เอกสารดังกล่าวถูกส่งไปตามสายงานและค้างที่กองกำลังพลจำเลยและพวกได้ร่วมกันแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น ดังนี้ จะว่าจำเลยเป็นผู้ใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่กองกำลังพลโดยวิธีแนบเรื่องไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจหาได้ไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองกำลังพลที่จะเป็นผู้เสนอเอกสารดังกล่าวไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจอยู่แล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอมิให้ลดโทษและรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยให้การรับต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้นจะว่าไม่เป็นประโยชน์แก่คดีหาได้ไม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้แก่จำเลยจึงชอบแล้ว แต่ในส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รอการลงโทษแก่จำเลยนั้นศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นเรื่องร้ายแรง และเป็นเรื่องที่ข้าราชการไม่พึงปฏิบัติ จึงสมควรลงโทษจำเลยเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นต่อไปฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์