แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัยนั้น จะต้องเป็นข้อสัญญาที่ผู้ให้สัญญาไม่มีทางปฏิบัติได้เลย
จำเลยทำสัญญารับจ้างเหมาโจทก์เจาะบ่อน้ำบาดาล เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาที่ให้รับประกันปริมาณและคุณภาพน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนดเวลา 4 ปีนั้น เป็นเงื่อนไขที่สามารถปฏิบัติได้ หาเป็นการพ้นวิสัยไม่ การที่จำเลยไม่สามารถเจาะบ่อน้ำบาดาลให้โจทก์ใช้ได้ถึง 4 ปีตามสัญญา จึงไม่ใช่กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย
ตามสัญญาจ้างเหมา ข้อ 13 ถือว่ารายการแนบท้ายหมาย จ.5, จ.6 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย และในรายการแนบท้ายดังกล่าว ข้อ 6 (14) (15) ผู้รับจ้างคือจำเลย ก็ได้สัญญาให้โจทก์ได้ใช้น้ำในประมาณตามที่กำหนด และรับรองให้โจทก์ได้ใช้น้ำบริโภคได้เป็นกำหนดเวลา 4 ปีนับแต่วันที่คณะกรรมการของโจทก์รับมอบงานงวดสุดท้ายและในรายการแนบท้าย ข้อ 6 (16) ก็ได้ระบุว่า ถ้าหากการดำเนินการของผู้รับจ้างได้ผลเป็นที่พอใจของผู้ว่าจ้างตามข้อ (14)และ (15) ผู้ว่าจ้างจะถือว่าผู้รับจ้างได้กระทำการให้ผู้ว่าจ้างถูกต้องเรียบร้อยเสร็จบริบูรณ์แล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่สามารถจะให้โจทก์ได้ใช้น้ำจนครบกำหนด 4 ปี โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 5 ได้ เพราะในสัญญาข้อนี้ได้ระบุไว้ว่า ‘ฯลฯ หรือผู้รับจ้างทำผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญานี้ได้ ฯลฯ’ ซึ่งข้อความนี้หาได้จำกัดเฉพาะสัญญาข้อ 5 ก. ข. ค. ไม่
โจทก์จ้างจำเลยขุดบ่อน้ำบาดาล จำเลยรับประกันปริมาณและคุณภาพน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนด 4 ปี เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 การให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างเหมาที่ได้รับไปแล้วแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ก็จะต้องคืนสิ่งของต่างๆ ที่จำเลยนำมาติดตั้งให้โจทก์แก่จำเลยแต่ได้ปรากฏว่าสิ่งของต่าง ๆ ที่จะต้องคืนให้แก่จำเลยนั้น โจทก์ได้นำไปใช้แล้วเป็นเวลาถึง 18 เดือน ทั้งจำเลยก็ได้ลงทุนลงแรงขุดเจาะน้ำบาดาลจนให้โจทก์มีน้ำใช้บริโภคได้ การคืนเงินของจำเลยแก่โจทก์จึงต้องหักจำนวนเงินค่าเสื่อมราคาสิ่งของเพื่อชดเชยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม กับค่าการงานในการติดตั้งให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ รับจ้างเหมาโจทก์เจาะบ่อน้ำบาดาล ฯลฯจำเลยที่ ๑ จะต้องทำการเจาะบ่อน้ำจนสามารถสูบน้ำบริสุทธิ์นั้นมาบริโภคได้ จำเลยที่ ๑ ยอมรับประกัน ท่อกรุ ท่อกรองน้ำ และคุณภาพของน้ำ ตามที่กรมวิทยาศาสตร์รับรองให้ใช้บริโภคได้เป็นเวลา ๔ ปี จำเลยที่ ๒ ยอมรับประกันความรับผิดของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เจาะบ่อน้ำบาดาล ฯลฯ กรมวิทยาศาสตร์ตรวจวิเคราะห์น้ำแล้ว เห็นว่าใช้บริโภคได้จำเลยที่ ๑ รับเงินไป ๒ งวด ต่อมาเดือนสิงหาคม ๒๕๐๖ น้ำบาดาลใช้บริโภคไม่ได้ จำเลยที่ ๑ แจ้งต่อโจทก์ว่าไม่มีทางแก้ไข เพราะเป็นธรรมชาติของน้ำใต้ดิน โจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินและชำระเงินให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยทั้งสองก็ไม่ชำระจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ ๑ คืนเงิน ๑๓๖,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่คืนหรือคืนให้ไม่ครบถ้วนให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงิน๗๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี สำหรับจำเลยที่ ๑ ในต้นเงิน ๑๓๖,๐๐๐ บาท สำหรับจำเลยที่ ๒ ในต้นเงิน ๗๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ตามข้อสัญญามิได้ตกลงกันว่า เมื่อเกิดชำรุดให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเรียกค่าจ้างคืนได้ ข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยรับประกันปริมาณน้ำและคุณภาพของน้ำตามเงื่อนไขว่าน้ำนั้นต้องให้กรมวิทยาศาสตร์รับรองว่าเป็นน้ำที่ใช้บริโภคได้เป็นเวลา ๔ ปีนั้น เป็นเงื่อนไขที่พ้นวิสัยที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะรับประกันได้
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดเมื่อจำเลยที่ ๑ไม่สามารถชำระเงินให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ มีทางชำระหนี้ ชอบที่โจทก์จะบังคับชำระเอาจากจำเลยที่ ๑ ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินค่าจ้างให้โจทก์เป็นเงิน ๘๕,๐๐๐ บาท ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่คืนหรือคืนไม่ครบ ให้จำเลยที่ ๒ชำระแทน ๗๓,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับจำเลยที่ ๑ ในต้นเงิน ๘๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ในต้นเงิน๗๓,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาว่าให้รับประกันปริมาณและคุณภาพของน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนดเวลา ๔ ปี เป็นเงื่อนไขที่พ้นวิสัยขัดต่อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัยนั้น จะต้องเป็นข้อสัญญาที่ผู้ให้สัญญาไม่มีทางจะปฏิบัติได้เลย แต่ในการเจาะบ่อน้ำบาดาลนี้ เงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ในข้อสัญญาที่ให้รับประกันปริมาณและคุณภาพของน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนดเวลา ๔ ปีนั้น เป็นเงื่อนไขที่สามารถปฏิบัติได้จึงหาเป็นการพ้นวิสัยไม่ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยจะทำได้ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เองก็เชื่อว่าสามารถทำได้ จึงได้ทำสัญญารับรองไว้เช่นนั้น ฉะนั้นการที่จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถเจาะบ่อน้ำบาดาลให้โจทก์ใช้ได้ถึง ๔ ปีตามสัญญา จึงไม่ใช่กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า โจทก์จะบอกเลิกสัญญาจ้างและเรียกเงินค่าจ้างคืนไม่ได้นั้น พิเคราะห์แล้ว ตามสัญญาจ้างเหมา (เอกสาร จ.๒)ข้อ ๑๓ ถือว่ารายการแนบท้ายหมาย จ.๕, จ.๖ เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย และในรายการแนบท้ายดังกล่าวข้อ ๖(๑๔) (๑๕) ผู้รับจ้างคือจำเลยที่ ๑ ก็ได้สัญญาให้โจทก์ได้ใช้น้ำในปริมาณตามที่กำหนดและรับรองให้โจทก์ได้ใช้น้ำบริโภคได้เป็นกำหนดเวลา ๔ ปี นับแต่วันที่คณะกรรมการของโจทก์รับมอบงานงวดสุดท้าย และในรายการแนบท้ายข้อ ๖(๑๖) ก็ได้ระบุว่า ถ้าหากการดำเนินการของผู้รับจ้างได้ผลเป็นที่พอใจของผู้ว่าจ้างตามข้อ (๑๔) และ (๑๕) ผู้ว่าจ้างจะถือว่าผู้รับจ้างได้กระทำการให้ผู้ว่าจ้างถูกต้องเรียบร้อยเสร็จบริบูรณ์แล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่สามารถจะให้โจทก์ได้ใช้น้ำจนครบกำหนด ๔ ปีโจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ ๕ ได้ เพราะในสัญญาข้อนี้ได้ระบุไว้ว่า “ฯลฯ หรือผู้รับจ้างทำผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดก็ดีผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญานี้ได้ ฯลฯ” ซึ่งความข้อนี้หาได้จำกัดเฉพาะสัญญาข้อ ๕ ก.ข.ค. ดังที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอ้างมานั้นไม่
เมื่อโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ ได้ และโจทก์ก็ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ ตามเอกสาร จ.๒๘ แล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ นั้นการให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยที่ ๑ จะต้องคืนเงินค่าจ้างเหมาที่ได้รับไปแล้วแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ก็จะต้องคืนสิ่งของต่าง ๆที่จำเลยที่ ๑ นำมาติดตั้งให้โจทก์แก่จำเลยที่ ๑ ด้วย แต่ปรากฏว่าสิ่งของต่าง ๆ ที่จะต้องคืนให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้น โจทก์ได้นำไปใช้แล้วเป็นเวลาถึง ๑๘ เดือน ทั้งจำเลยที่ ๑ ก็ได้ลงทุนลงแรงขุดเจาะน้ำบาดาลจนให้โจทก์มีน้ำใช้บริโภคได้ เมื่อเป็นดังนี้ การคืนเงินของจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์ จึงต้องหักจำนวนเงินค่าเสื่อมราคาสิ่งของเพื่อชดเชยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม กับค่าการงานในการติดตั้งให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินเพียง ๘๕,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ก็เป็นจำนวนที่พอสมควรแล้ว
พิพากษายืน