แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ลอย ๆ เพียงว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ของโจทก์ เนื่องจากทำขึ้นโดยขัดต่อระเบียบข้อบังคับของโจทก์เป็นคำให้การที่ไม่แสดงให้แจ้งชัดถึงเหตุแห่งการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นว่านาย ห. ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดตามเอกสารหมาย จ.4 ให้โจทก์ในฐานะเป็นตัวแทนหรือกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ และปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้ โจทก์มี น. เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ และโจทก์มอบอำนาจให้ น.ฟ้องคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจ จำเลยมิได้นำสืบโต้แย้ง ฟังได้ว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมืออันแท้จริงของผู้มีอำนาจของโจทก์ตามหนังสือรับรองของกระทรวงพาณิชย์ และโจทก์ได้มอบอำนาจให้ น. ฟ้องคดีแทน น. จึงมีอำนาจฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล โจทก์มีวัตถุประสงค์ซื้อลดตั๋วเงินและตราสารอันเปลี่ยนมือได้ทุกชนิดในการฟ้องคดีโจทก์มอบให้นายนิพนธ์ โรจนโสภณดิษฐ์ ดำเนินการแทนเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2525 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดกับโจทก์มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คมาขายแลกเงินสดกับโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ได้นำเข้าบัญชีของโจทก์แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ให้การว่า ลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่ลายมือกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ นายนิพนธ์ ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้นำเช็คพิพาทมาแลกเป็นเงินสดกับโจทก์ ซึ่งไม่ถูกต้องตามที่จดทะเบียนไว้ และเป็นการแลกเกินวงเงินที่จำเลยที่ 4 ค้ำประกัน จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน360,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4ประการแรกว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 4ในปัญหาว่า นายหงชาด เอื้อจงประสิทธิ์ ลงชื่อในสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดตามเอกสารหมาย จ.4 ขัดต่อข้อบังคับของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ 4ในข้อ 2 จำเลยที่ 4 ให้การลอย ๆ ไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 4ไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ต่อโจทก์เนื่องจากทำขึ้นโดยขัดต่อระเบียบข้อบังคับของโจทก์เท่านั้น จึงเป็นคำให้การที่ไม่แสดงให้แจ้งชัดถึงเหตุแห่งการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องไปวินิจฉัยในปัญหาว่า ที่นายหงชาดเอื้อจงประสิทธิ์ ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดตามเอกสารหมาย จ.4ให้โจทก์ในฐานะเป็นตัวแทนหรือกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ ทั้งปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้จำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จำเลยที่ 4 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาต่อไปว่า นายนิพนธ์ โรจนโสภณดิษฐ์ ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะลายมือชื่อนายวิเชษฐ์ กาญจนกิจ ที่มอบอำนาจให้นายนิพนธ์ ฟ้องคดีแทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2ไม่เหมือนลายมือชื่อนายวิเชษฐ์ ที่ปรากฏตามสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดเอกสารหมาย จ.4 แสดงว่าไม่มีการมอบอำนาจให้นายนิพนธ์ ฟ้องคดีแทนโจทก์นั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์มีนายนิพนธ์ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่าโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามหนังสือรับรองของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตามเอกสารหมาย จ.1 และโจทก์มอบอำนาจให้พยานฟ้องคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2จำเลยที่ 4 มิได้นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่น ย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่า ลายมือชื่อของนายวิเชษฐ์ ตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นลายมือชื่ออันแท้จริงของนายวิเชษฐ์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ ตามหนังสือรับรองของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์และโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายนิพนธ์ ฟ้องคดีแทน การที่ลายมือชื่อของนายวิเชษฐ์ ตามหนังสือมอบอำนาจเหมือนหรือไม่เหมือนกับลายมือชื่อที่ปรากฏตามสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดนั้นหามีผลทำให้รับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายนิพนธ์ แต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายนิพนธ์ ฟ้องคดีแทนโจทก์นายนิพนธ์ จึงมีอำนาจฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินจะเรียกเอาจากลูกค้าได้ไม่เกินอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี มาตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529จนถึงปัจจุบันแล้ว จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เกินอัตราดังกล่าวนั้น เห็นว่า ในปัญหาว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินจะเรียกเอาจากลูกค้าได้ในอัตราเท่าใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่ 4 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.