แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ได้นำรถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อพร้อมกับค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียมไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วก่อนโจทก์ขอหมายบังคับคดี ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับคดีอีกต่อไป การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2โดยผิดหลงว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีสิทธิเรียกโจทก์มาถอนการยึดทรัพย์รายนี้ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า รถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 1 นำมาวางต่อสำนักงานวางทรัพย์มีสภาพเสื่อมโทรมโจทก์จึงไม่รับนั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาเพียงว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถจักรยานยนต์ ฯลฯ เท่านั้น มิได้ระบุว่ารถจักรยานยนต์จะต้องมีสภาพอย่างไรและโจทก์มิได้ฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ออกคำบังคับและหมายบังคับคดี โดยโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 86824 พร้อมอาคารพาณิชย์3 ชั้น จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1ได้นำรถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อและค่าเสียหายไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้ โดยได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมรับและได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 จึงขอให้ศาลถอนการยึดศาลชั้นต้นได้ดำเนินการนัดคู่กรณีมาพร้อมกัน เจ้าพนักงานบังคับคดียืนยันว่าการบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 นั้น ชอบด้วยกฎหมายศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2537จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อกรมบังคับคดีว่า จำเลยที่ 2ได้นำรถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อพร้อมกับค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความทั้งหมดมาวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง ตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว โดยสำนักงานวางทรัพย์กลางแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์บอกปฏิเสธไม่รับทรัพย์นั้น แล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นที่ดินและอาคารบ้านเรือน ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลย โดยปิดบังไม่แจ้งให้ทราบว่า จำเลยได้วางทรัพย์ชำระหนี้ตามหมายแล้ว เป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต ให้เรียกโจทก์มาถอนการยึด พร้อมชำระค่าธรรมเนียมต่อไป
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นนัดคู่ความทุกฝ่ายมาสอบถามแล้ว มีคำสั่งว่าการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 และมีเหตุที่จะเพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิคันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 4 ฌ-6459 แก่โจทก์หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 23,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายจำนวน 7,000 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความให้ 800 บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถคืนรถแก่โจทก์ได้ก็ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 40,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 1,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีถึงที่สุด
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำรถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อพร้อมกับเงินค่าเสียหาย จำนวน 7,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวน 3,730 บาท รวมเป็นเงิน 10,730 บาทไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว หลังจากนั้นโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้นำรถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อพร้อมกับค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียมไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับคดีอีกต่อไป เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 โดยผิดหลงว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีสิทธิเรียกโจทก์มาถอนการยึดทรัพย์รายนี้ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าทรัพย์ซึ่งหมายถึงรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 1นำไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางมีสภาพเสื่อมโทรมโจทก์จึงไม่รับนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาเพียงว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถจักรยานยนต์ ฯลฯ เท่านั้นมิได้ระบุว่ารถจักรยานยนต์จะต้องมีสภาพอย่างไร และโจทก์มิได้ฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงถึงที่สุด ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์เองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) นั้น เห็นว่ากรณีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้สั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์เองเพียงแต่เรียกโจทก์มาถอนการยึดเท่านั้น ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ในที่สุดแล้ว
พิพากษายืน