แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องหาว่าจำเลยวางเพลิงจุดเผาต้นอ้อยในไร่ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเป็นอสังหาริมทรัพย์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 186 เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ตามฟ้องจริงแต่ศาลเห็นว่าต้นอ้อยเป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ เช่นนี้ จึงเป็นกรณีเข้าตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 185 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันวางเพลิงจุดเผาต้นอ้อย ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นปลูกอยู่ในไร่ อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนายไจ้ซง แซ่เฮงไหม้เสียหายประมาณ 3,000 กอ คิดเป็นราคา 2,000 บาท ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 186
จำเลยรับในข้อเท็จจริง แต่ต่อสู้ว่า อ้อยเป็นไม้ล้มลุกเป็นสังหาริมทรัพย์ จึงจะลงโทษจำเลยไม่ได้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ต้นอ้อย เป็นสังหาริมทรัพย์ จึงจะลงโทษจำเลยตามมาตรา 186 ที่โจทก์ขอไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 185
จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า ลงโทษตามมาตรา 185 ไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้คงได้ความว่าจำเลยวางเพลิงจุดเผาต้นอ้อยของผู้เสียหายจริง ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นแต่โจทก์เห็นว่าต้นอ้อยเป็นอสังหาริมทรัพย์จึงอ้างมาตรา 186 เป็นบทลงโทษ แต่เมื่อศาลฟังว่า ต้นอ้อยเป็นสังหาริมทรัพย์ กรณีก็เป็นผิดตามมาตรา 185 ความผิดใน 2 มาตรานี้เป็นเรื่องวางเพลิงเช่นเดียวกัน เป็นแต่แยกกันไปว่า เป็นทรัพย์ประเภทใดเท่านั้น ฉะนั้นคดีจึงเข้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรค 4 ที่ว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์ก็อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
จึงพิพากษายืน