คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ทำหรือเปิดทางเดินตามสัญญาซื้อขายที่ดินจำเลยให้การว่าไม่มีข้อตกลงว่าจะเปิดทางเดินก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษา 1 วัน ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทำหรือเปิดทางเดินในที่พิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดิน จึงขอให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ดังนี้ คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ชอบที่ศาลจะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความตามขอ จะยกคำร้องโดยอ้างว่าผู้ร้องอาจพิสูจน์สิทธิในที่พิพาทได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(1)(2) หาชอบไม่

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 30 เดือนธันวาคม พุทธศักราช 2513

กรณีของคดีนี้เนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ทำหรือเปิดทางเดินตามสัญญาซื้อขายจัดสรรที่ดินของจำเลย ซึ่งตกลงขายให้โจทก์แต่ละคน คนละ 1 แปลง

จำเลยให้การว่า ไม่ได้ขายที่ดินให้โจทก์ที่ 1 และ 2 แต่รับว่าได้ขายที่ดินให้โจทก์ที่ 3, 4 จริง แต่ไม่มีข้อตกลงว่าจะเปิดทางเดินดังฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คดีแล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย พิพากษาห้ามจำเลยปิดกั้นซอยพิพาทตามแผนที่ของศาล

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ทำการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่

ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แล้วนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 2 ตุลาคม 2513

ในวันที่ 1 ตุลาคม 2513 นางสงวนผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาท โดยคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครสวรรค์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 378/2512 ระหว่าง นางสงวน ใยวิจิตร กับพวก โจทก์ จ่าสิบเอกโชติ วีระเดช กับพวก จำเลยโจทก์ฟ้องคดีนี้ให้จำเลยทำหรือเปิดทางเดินในที่ดินพิพาท จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาท จึงขอให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)

ศาลชั้นต้นเห็นว่าได้นัดฟังคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษามีผลเฉพาะคู่ความ ส่วนบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ว่าตนมีสิทธิดีกว่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(1)(2) ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความต่อสู้คดีกับโจทก์จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)

โจทก์ทั้งสี่ฎีกา

คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยถึงแก่กรรมศาลฎีกาอนุญาตให้นางลักขณา ศรีสุขวงษ์ ทายาทจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อขอให้ได้รับความคุ้มครองสิทธิในการที่ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 75(1) ซึ่งบัญญัติไว้เพื่อให้บุคคลที่ 3 ได้รับความคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่โดยทันที ไม่จำต้องฟ้องคดีหลายเรื่อง เฉพาะคดีนี้ปรากฏว่ายังอยู่ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องก็ได้ยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยอ้างเหตุว่า ผู้ร้องอาจพิสูจน์สิทธิในที่พิพาทได้ต่างหากดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(1)(2) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการเป็นความสองเรื่อง โดยปกติทำให้ยุ่งยากมากกว่ารวมพิจารณาเป็นเรื่องเดียว ที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความตามที่ผู้ร้องสอดร้องขอมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมผู้ร้องในชั้นนี้ ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา

Share