คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3419/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงได้ความว่า อำนาจอนุมัติเงินยืมเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 ผู้เป็นปลัดจังหวัดจะสั่งอนุมัติได้ต่อเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และตามระเบียบราชการผู้ขอยืมเงินจะต้องขอไปใช้ในทางราชการผู้มีอำนาจอนุมัติจึงจะอนุมัติให้ยืมได้ ดังนี้ เมื่อฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเสมียนตรานำเงินยืมไปใช้นอกเหนือหน้าที่ราชการและจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนือหน้าที่ราชการแต่อย่างใดจึงต้องฟังว่าการที่จำเลยที่ 1 ได้ขอยืมเงินทดรองราชการ และจำเลยที่ 2 อนุมัติไปตามฟ้อง เป็นการยืมไปใช้ในราชการในกรณีเช่นนี้ จำเลยที่ 1 หาได้อยู่ในฐานะผู้ยืมตามกฎหมายไม่(อ้างฎีกาที่ 1107/2499) การที่โจทก์กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ 1ยืมเงินทดรองราชการไปแล้วไม่ส่งใช้เงินยืมหรือไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืม และจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการของจำเลยที่ 1 เป็นผู้อนุมัติเงินยืม จึงเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าจำเลย ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการนั้นเอง หาได้กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์แต่ประการใดไม่ จึงไม่มีทางที่จะบังคับให้จำเลยรับผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ รับราชการตำแหน่งเสมียนตราจังหวัดนนทบุรีมีหน้าที่เบิก รับ จ่าย รักษาเงิน ควบคุมการเงินของทางราชการจังหวัดนนทบุรีจำเลยที่ ๒ รับราชการตำแหน่งปลัดจังหวัดนนทบุรี เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการงานเสมียนตราจังหวัดนนทบุรีตลอดจนมีอำนาจอนุมัติเงินยืมต่าง ๆ ของทางราชการจังหวัดนนทบุรีให้แก่จำเลยที่ ๑ เมื่อระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๑ ได้ขอยืมเงินทดรองราชการของจังหวัดนนทบุรี โดยทำบันทึกใบยืมและสัญญารับรองการยืมเงินประเภทต่าง ๆ รวม ๓๖ ครั้ง รวมเป็นเงิน ๖๗,๒๑๗.๓๕ บาท และจำเลยที่ ๒เป็นผู้อนุมัติ นับตั้งแต่จำเลยที่ ๑ ยืมเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว จำเลยที่ ๑มิได้ส่งใช้เงินยืมคืน ทั้งไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืม จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ยืมและจำเลยที่ ๒ ผู้อนุมัติต้องรับผิดร่วมกันใช้เงินจำนวนนี้คืนแก่จังหวัดนนทบุรีโจทก์แจ้งให้จำเลยใช้เงินยืมดังกล่าวหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน ๖๗,๒๑๗ บาท ๓๕ สตางค์แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้ทำใบยืมเงินทดรองราชการรวม ๓๖ ฉบับจริงแต่เป็นการยืมทดรองจ่ายเพื่อใช้ในกิจการและหน้าที่ของโจทก์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้สั่งและอนุมัติจ่ายได้ ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องรับผิด และตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีหน้าที่อนุมัติเงินยืมการอนุมัติเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด จำเลยที่ ๒ ลงชื่ออนุมัตินั้นเป็นการลงชื่อแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเงินตามฟ้องอยู่ครบถ้วน เพียงแต่จำเลยที่ ๑กับผู้ว่าราชการจังหวัดต่างไม่ยอมส่งใบสำคัญหักคืนเงินยืมหรือเบิกจากเงินงบประมาณใช้คืนเงินยืมเท่านั้น และตัดฟ้องว่าคดีขาดอายุความและฟ้องเคลือบคลุม
ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงว่า อำนาจอนุมัติเงินยืมเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ผู้เดียว และคู่ความรับกันว่าตามระเบียบราชการผู้ขอยืมเงินจะต้องขอไปใช้ในทางราชการ ผู้มีอำนาจอนุมัติจึงจะอนุมัติให้ยืมได้ และระยะเวลาส่งใบสำคัญใช้เงินยืมจะต้องส่งภายในเวลา ๑๕ วัน นับแต่ผู้ยืมได้ใช้จ่ายเงินยืมไปตามกำหนดการที่ยืมนั้นเสร็จ
เมื่อสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนได้ ๑ ปาก ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ตั้งเป็นมูลสัญญา ไม่ใช่มูลละเมิดหากจะฟังว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ส่งใช้เงินยืมและไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืมอย่างดีจะฟังได้ก็เพียงว่าจำเลยที่ ๑ บกพร่องหรือละเลยต่อหน้าที่ หรือเป็นการผิดระเบียบเท่านั้น หาได้กระทำผิดสัญญาต่อโจทก์ ส่วนการที่จำเลยที่ ๒อนุมัติเงินยืมก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดและฟ้องไม่ได้บรรยายว่าการที่จำเลยที่ ๑ ไม่ส่งใช้เงินยืมและไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืมนั้นเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่อย่างไร จำเลยที่ ๒ จะต้องมีส่วนรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ อย่างไรเป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ได้ความตามที่โจทก์แถลงว่า อำนาจอนุมัติเงินยืมเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ จะสั่งอนุมัติได้ต่อเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อาจปฏิบัติราชการได้และคู่ความรับกันว่า ตามระเบียบราชการผู้ขอยืมเงินจะต้องขอไปใช้ในทางราชการผู้มีอำนาจจึงจะอนุมัติให้ยืมได้และวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ ๑ นำเงินยืมดังกล่าวไปใช้นอกเหนือหน้าที่ราชการ และจำเลยที่ ๒ ทำนอกเหนือหน้าที่ราชการอย่างใด จึงต้องฟังว่าการที่จำเลยที่ ๑ ได้ขอยืมเงินทดรองราชการ และจำเลยที่ ๒อนุมัติไปตามฟ้อง เป็นการยืมไปใช้ในราชการ ในกรณีเช่นนี้จำเลยที่ ๑ หาได้อยู่ในฐานะผู้ยืมตามกฎหมายไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๐๗/๒๔๙๙ระหว่างกรมไปรษณีย์โทรเลข โจทก์ ม.ร.ว.เชื้อ สนิทวงศ์ กับพวก จำเลยที่โจทก์กล่าวฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ยืมเงินทดรองราชการไปแล้วไม่ส่งใช้เงินยืมหรือไม่ส่งใบสำคัญหักล้างเงินยืม และจำเลยที่ ๒ ผู้มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้อนุมัติเงินยืมรายนี้ จึงเป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการนั้นเอง หาได้กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำละเมิดต่อโจทก์แต่ประการใดไม่ไม่มีทางที่จะบังคับให้จำเลยรับผิดตามฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share