แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฉ้อโกงให้โจทก์ร่วมเข้าหุ้นเล่นการพนันต้มบุคคลที่สามโจทก์ร่วมเข้าหุ้นและเข้าเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยดังนี้ เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ได้พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินจำนวน 270,000 บาท ให้จำเลยกับพวก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 270,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา341, 83 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 270,000 บาทแก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบโดยละเอียดถึงการที่โจทก์ร่วมไปบ้านจำเลย แล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมเข้าหุ้นกันเล่นการพนันซึ่งเงินที่ร่วมหุ้นยังขาดอยู่ 200,000 บาทเศษ จำเลยจึงขอยืมเงินโจทก์ร่วมในส่วนที่จำเลยจะได้เงินค่านายหน้าตามส่วนจากการขายที่ดิน โจทก์จึงกลับไปบ้านแล้วเอาเงินมาให้ ส่วนจำเลยนำสืบว่า จำเลย โจทก์ร่วมกับพวกได้ตกลงเข้าหุ้นเล่นการพนันเงินยังขาดอยู่ 200,000 บาทเศษ โจทก์ร่วมจึงตกลงเป็นผู้ออกในส่วนที่ขาดโดยได้กลับไปเอาเงินที่บ้านจังหวัดนครปฐม เมื่อได้เงินตามจำนวนที่ต้องการแล้วก็กลับมาเล่นการพนันโดยโจทก์ร่วมเป็นเจ้ามือ ส่วนนายปุ่นเป็นหัวเบี้ย เห็นว่าตามที่โจทก์นำสืบคงมีโจทก์ร่วมคนเดียวที่เบิกความรู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เมื่อพิเคราะห์คำให้การชั้นสอบสวนของโจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย ป.จ.2 ซึ่งระบุว่าโจทก์ร่วมมีหน้าที่ครอบถ้วย นายประกิจเป็นผู้กำไม้ขีด ขณะเปิดนายประกิจก็เป็นผู้เปิดพร้อมกับนับก้านไม้ขีดซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการเล่นการพนันกำถั่วโดยเอาทรัพย์กัน ถ้าหากว่าโจทก์ร่วมไม่ประสงค์ที่จะร่วมเล่นการพนันแล้ว โจทก์ร่วมจะกลับไปบ้านเอาเงินที่บ้านและไปเบิกเงินจากธนาคารมาให้จำเลยทำไม น่าจะมอบเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยเสียขณะอยู่ที่บ้านโจทก์ร่วมโดยไม่ต้องกลับมาบ้านจำเลยอีก การที่โจทก์ร่วมยังกลับมาบ้านจำเลยอีกจึงส่อพิรุธทำให้น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมมีความสมัครใจจะเข้าเล่นการพนันดังที่จำเลยนำสืบมากกว่า และที่โจทก์ร่วมเบิกความว่าโจทก์ร่วมยอมมอบเงิน 270,000 บาทให้จำเลยเพราะจำเลยบอกโจทก์ร่วมว่า จำเลยมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากการซื้อขายที่ดินที่จำเลยให้โจทก์ร่วมเสนอราคาขายเกินจากราคาที่จะขายจริงจำเลยขอรับเงินส่วนแบ่งที่จำเลยจะได้รับไปก่อนก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะขณะที่โจทก์ร่วมมอบเงินให้จำเลยนั้นยังไม่ได้มีการตกลงวางมัดจำหรือทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินกันเลย ส่วนที่ดินที่ซื้อขายก็ไม่ใช่ของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเป็นเพียงนายหน้าซึ่งจะได้รับค่านายหน้าจากเจ้าของที่ดินเมื่อคำนวณแล้วเป็นเงินไม่มากมายนัก จึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมจะยอมมอบเงินส่วนที่จำเลยจะได้รับเป็นค่านายหน้าด้วยให้จำเลยไปก่อนเป็นจำนวนถึง 270,000บาท ดังที่โจทก์ร่วมกล่าวอ้าง พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวน่าเชื่อว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมให้โจทก์เข้าหุ้นเล่นการพนันซึ่งยังขาดเงินอยู่อีก 270,000 บาท โดยจะเล่นกับเสี่ยซึ่งมาจากไต้หวัน ในการเล่นการพนันนี้จำเลยกับพวกได้ให้นายประกิจมาอธิบายถึงวิธีการเล่นที่จะต้มเสี่ยที่เล่นการพนันด้วยซึ่งโจทก์ร่วมหลงเชื่อตามคำหลอกลวงนั้น จึงตกลงเข้าหุ้นและมอบเงิน 270,000 บาทให้จำเลยกับพวกเพื่อเล่นการพนัน และโจทก์ร่วมก็ได้เข้าเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.